ทุเรียนฟีเวอร์ ขายออนไลน์ใช้ไอทีสนับสนุนการตลาด

นับตั้งแต่มีข่าวชาวจีนสั่งซื้อทุเรียนจำนวนถึง 80,000 ลูกภายในเวลาเพียง 1 นาทีผ่านเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Tmall หลังจากมีภาพข่าวการจับมือกันระหว่าง แจ็ก หม่า และนายกรัฐมนตรีของไทย

ข่าวดังกล่าวไม่เพียงสร้างความตื่นตะลุงไปทั่วโลกแต่ยังทำให้เกิดกระแสทุเรียนฟีเวอร์ขึ้นอีกด้วย และดูเหมือนว่าจะไม่จบเพียงแค่นั้น ต่อมายังมีข่าวการกระตุ้นตลาดในการโปรโมทและจำหน่ายทุเรียนด้วยไอทีออกมาให้เห็นกันอีกไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อทุเรียนระดับพรีเมียมผ่านช่องทางออนไลน์ของ CP และการจัดทำ QR Code ให้กับทุเรียน

ทางด้านการสั่งซื้อทุเรียนผ่านช่องทางออนไลน์ของ CP ก็คือ การสั่งจองทุเรียนพันธ์ุ “กบชายน้ำ” และพันธุ์ “หมอนทอง” ผ่าน Call Center ของ 24catalog สำหรับพันธุ์หมอนทองนั้นราคาจำหน่ายจะอยู่ที่ 699 บาท ส่วนพันธุ์กบชายน้ำนั้นเป็นพันธุ์เก่าแก่ที่มีอายุกว่า 100 ปี การจำหน่ายจะมี 2 แบบคือ

  • จำนวน 1 ลูก ราคา 11,000 บาท น้ำหนักไม่รวมกล่องประมาณ 1.5-2.0 กิโลกรัม
  • จำนวน 2-3 ลูก ราคา 32,000 บาท น้ำหนักไม่รวมกล่องประมาณ 4.5-6.0 กิโลกรัม

ทั้งนี้การสั่งจะเป็นการพรีออร์เดอร์โดยสั่งจองได้ตั้งแต่วันที่ 8-18 พฤษภาคม 2561 และสินค้าจะเริ่มจัดส่งตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2561

อีกด้านหนึ่งเกี่ยวกับการติด QR Code ให้กับทุเรียนนั้นเกิดขึ้นที่จังหวัดระยองเป็นการร่วมมือกันหลายๆ ฝ่ายทั้งเกษตรจังหวัดฯ พาณิชย์จังหวัดฯ และเกษตรกรในพื้นที่ วัตุประสงค์ของการจัดทำ QR Code เพื่อให้ผู้บริโภคทราบถึงต้นตอแหล่งกำเนิดของทุเรียน รายละเอียดเจ้าของสวนลูกทุเรียน ป้องกันการนำทุเรียนอ่อนออกจำหน่ายและเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค

นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะได้เห็นเกษตรกรไทยนำเอาไอทีมาปรับใช้ในการจัดจำหน่ายผลผลิต หวังว่าต่อไปนอกจากทุเรียนแล้วจะได้

ใช้เวลาของคุณให้คุ้มค่าที่สุดด้วยอัปเดตใหม่จาก Windows 10

ก้าวล้ำไปอีกขั้นกับอัปเดตล่าสุดของวินโดวส์ 10 ระบบปฏิบัติการที่ทันสมัยที่สุด และปลอดภัยที่สุดจากไมโครซอฟท์ ภายใต้ชื่อ “April 2018 Update” ซึ่งต่อยอดจากอัปเดตใหญ่สองครั้งก่อนหน้านี้ ที่มุ่งปลดปล่อยความเป็นนักสร้างสรรค์ในตัวของทุกคนให้ออกมาโลดแล่น ในอัปเดตล่าสุดนี้ ผู้ใช้ทุกคนจะได้พบกับฟีเจอร์ใหม่ที่ช่วยให้คุณสามารถใช้เวลาได้อย่างคุ้มค่า และปันเวลาให้กับเรื่องสำคัญในชีวิตได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ วันพักผ่อน การทำงาน หรือสิ่งต่างๆ ที่คุณรัก

ฟีเจอร์ “Timeline” ช่วยให้คุณค้นหาของสำคัญได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะอยู่บนดีไวซ์ไหน

การเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากของอุปกรณ์ต่างๆ บวกกับการขยายตัวอย่างรวดเร็วของข้อมูล ทำให้เราใช้เวลากับหน้าจอมากขึ้น จนอาจเรียกได้ว่าทุกวันนี้ เราใช้เวลาว่างเกือบทั้งหมดอยู่กับสารพัดหน้าจอรอบตัวเรา ซึ่งก็หมายความว่าข้อมูลของเราต้องกระจัดกระจายไปอยู่กับอุปกรณ์หลายๆ เครื่อง ทำให้การค้นหาไฟล์สักชิ้นหนึ่งกลายเป็นเรื่องยากกว่าที่เคย เราทุกคนคงเคยมีประสบการณ์การค้นหาไฟล์งานที่เคยทำไว้ทั้งในอีเมล์และโฟลเดอร์มากมาย แต่ก็ยังหาไม่เจอ หรือแม้แต่รูปถ่ายและวิดีโอที่คุณติดใจจนเซฟเก็บไว้ แต่ไม่รู้ว่าไปเก็บไว้ที่ไหน ฟีเจอร์ Timeline ในวินโดวส์ 10 รุ่นล่าสุดจะสามารถช่วยคืนเวลาที่คุณเสียไปนี้ได้

Timeline ในวินโดวส์ 10 ทำให้คุณสามารถย้อนเวลาได้ถึง 30 วัน เพื่อกลับไปค้นหาสิ่งต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานที่คุณเพิ่งทำในวันนี้ สัปดาห์ก่อน หรือหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา และเพื่อเป็นการลดความสับสนวุ่นวายให้ชีวิตง่ายขึ้น คุณยังสามารถหยิบงานที่ทำค้างไว้ในเบราว์เซอร์ Microsoft Edge หรือแอป Office 365 บนอุปกรณ์ iOS หรือแอนดรอยด์มาทำต่อบนพีซีของคุณได้ทันที เพียงลงชื่อเข้าใช้บัญชีไมโครซอฟท์ของคุณเท่านั้น ลองนึกภาพว่าคุณกำลังใช้โทรศัพท์เลือกโต๊ะเครื่องแป้งในห้องน้ำสำหรับการแต่งบ้านใหม่ขณะอยู่ข้างนอก แล้วมาคลิกสั่งซื้อของให้เรียบร้อยบนเครื่องพีซีที่บ้าน หรือทำงานบนเอกสารระหว่างเดินทางอยู่บนรถเมล์ ก่อนที่จะกลับมาทำต่อได้แบบไม่มีสะดุดจากคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงานของคุณ 

“Focus Assist” เสริมสมาธิให้คุณทำงานโดยไม่มีสิ่งใดมารบกวน

ทุกวันนี้ พวกเราส่วนใหญ่ใช้เวลา 3-6 ชั่วโมงในแต่ละวันอยู่กับหน้าจออุปกรณ์ต่างๆ โดยที่ส่วนมากใช้ไปกับการเล่นโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีแต่สิ่งที่คอยทำให้เสียสมาธิอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะใช้หน้าจอหรืออุปกรณ์ไหนอยู่ ข้อมูลมากมายมหาศาลจากช่องทางเหล่านี้ทำให้สมาธิของคุณถูกรบกวนอยู่ตลอด จนไม่สามารถมุ่งเป้าไปทำในสิ่งที่สำคัญได้ ปัญหาเรื่องสมาธินี้เป็นประเด็นที่เราต้องแก้ไขกันอย่างจริงจังเสียที เพราะในเวลาทำงานนั้น โดยเฉลี่ยแล้ว แต่ละคนจะสามารถใช้เวลาได้เพียง 3 นาทีในการทำงานสักชิ้นได้อย่างไม่ถูกรบกวน หรือไม่มีการสลับไปทำงานอื่น (ไม่นับกรณีของการประชุม) แต่กลับจำเป็นต้องใช้เวลามากถึง 23 นาทีเพื่อรวบรวมสมาธิให้กลับมาแน่วแน่อีกครั้งหลังถูกรบกวน ดังนั้น ประสิทธิภาพการทำงานและความคิดสร้างสรรค์จึงถูกลดทอนลง

วินโดวส์ 10 เวอร์ชัน April 2018 Update มาพร้อมกับ Focus Assist ที่ช่วยให้คุณจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้าได้เต็มที่ เพียงเปิดใช้งานเมี่อคุณต้องการทำงานให้เสร็จโดยไร้สิ่งรบกวน ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดียหรือการแจ้งเตือนอื่นๆ นอกจากนี้ คุณยังสามารถตั้งค่าให้ Focus Assist เปิดใช้งานโดยอัตโนมัติในเวลาที่กำหนด โดยเมื่อหมดเวลาหรือสั่งปิดการทำงานลง คุณจะได้รับแจ้งสรุปว่ามีการแจ้งเตือน อีเมล์ หรืออัปเดตอะไรบ้างที่เข้ามาในระหว่างที่คุณเพ่งสมาธิไปกับการทำงานอยู่ และหากคุณกำลังรอโทรศัพท์หรืออีเมล์จากใครสักคน คุณก็สามารถกำหนดให้วินโดวส์แจ้งเตือนการติดต่อจากบุคคลนั้นตามปกติได้ แม้ขณะเปิดใช้งาน Focus Assist

นอกจากนี้ เรายังช่วยให้คุณตั้งสมาธิไปกับเนื้อหาในเว็บไซต์ต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้นกับเบราว์เซอร์ Microsoft Edge ที่ให้คุณเลือกปิดหรือเปิดเสียงจากบางแท็บได้ตามใจชอบ เพียงคลิกที่ไอคอนรูปลำโพงของแท็บนั้นๆ ขณะที่หนังสือแบบอีบุ๊ค ไฟล์ PDF และการเปิดเว็บไซต์แบบ Reading Mode ก็สามารถเปิดอ่านได้แบบเต็มจอเพื่อกำจัดสิ่งรบกวนให้พ้นตา ส่วนการช้อปออนไลน์ก็ง่ายกว่าเดิม เมื่อคุณสามารถจัดเก็บทั้งที่อยู่ รายละเอียดการชำระเงิน และข้อมูลอื่นๆ ได้อย่างปลอดภัย เพื่อให้ Edge ช่วยกรอกลงในแบบฟอร์มการชำระค่าสินค้าได้แบบอัตโนมัติ ขณะที่การสั่งพิมพ์หน้าเว็บลงกระดาษก็สามารถทำได้เรียบร้อย สะอาดตายิ่งขึ้น ด้วยตัวเลือกในการพิมพ์แบบใหม่ที่ตัดส่วนเกินออก สำหรับใครที่เจออุปสรรคในการอ่านเนื้อหาบนหน้าเว็บ สามารถใช้ปุ่มเครื่องมือ Grammar Tools ใหม่ เพื่อเปิดตัวช่วยในการอ่าน เช่นการแยกคำทั้งหมดในหน้าเว็บให้แตกออกเป็นพยางค์ พร้อมระบุชนิดของคำที่แตกต่างกันไป เช่นคำนาม กริยา และคุณศัพท์

ใช้เสียงสั่งงานอย่างเป็นธรรมชาติ

การใช้เสียงของเราสั่งงานอุปกรณ์โดยตรงโดยไม่ต้องพิมพ์ ถือเป็นการเปิดประสบการณ์การใช้งานในรูปแบบที่เป็นธรรมชาติ โดยเราเชื่อว่าการใช้เสียงสั่งงานจะเข้ามาพลิกรูปแบบการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างมาก โดยไม่จำกัดอยู่เพียงแค่สถานะความเป็นลูกเล่นแปลกใหม่หรือเพื่อความบันเทิงเท่านั้น

April 2018 Update สำหรับวินโดวส์ 10 รองรับการสั่งงานด้วยเสียงไปอีกขั้นด้วยฟีเจอร์ Dictation ที่ทำให้การจดโน้ตหรือเขียนงานทำได้ง่ายขึ้นด้วยเสียงพูดของคุณเท่านั้น โดยเพียงคลิกเลือกช่องที่ต้องการพิมพ์ข้อความลงไป ไม่ว่าจะในวินโดวส์เองหรือในแอปพลิเคชันใดก็ตาม ตามด้วยกดปุ่ม   + H แล้วพูดออกมาได้เลย ฟีเจอร์ Dictation ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ในวินโดวส์ 10 นี้ สามารถจับความคิดของคุณได้รวดเร็วและแม่นยำ ให้คุณได้บันทึกและถ่ายทอดทุกไอเดียที่คุณกับเพื่อนร่วมงานเพิ่งจะคิดออก หรือแม้แต่เตรียมสุนทรพจน์สำหรับงานแต่งงานของเพื่อนสนิทได้อย่างสะดวกสบาย

แน่นอนว่าวินโดวส์ 10 เวอร์ชันอัปเดต April 2018 นี้ ยังมีฟีเจอร์ใหม่อีกมากมายให้คุณได้ใช้ประโยชน์ ทั้งเครื่องมือบริหารจัดการเครื่องพีซีที่ใช้งานได้ง่ายขึ้นสำหรับลูกค้าองค์กร ลูกเล่นใหม่สำหรับการสร้างผลงานชิ้นเอกจากภาพถ่าย โมเดลสามมิติ และเทคโนโลยี Windows Mixed Reality การรักษาความปลอดภัยในโลกออนไลน์รูปแบบใหม่ และการปรับแต่งที่ช่วยเสริมประสบการณ์การเล่นเกมพีซีให้เพลิดเพลินยิ่งขึ้น

อัปเดต April 2018 สำหรับวินโดวส์ 10 เปิดให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดและติดตั้งได้ฟรี นับตั้งแต่วันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องเริ่มคิดว่าคุณจะนำเวลาอันมีค่าที่วินโดวส์ช่วยประหยัดให้ ไปใช้ทำอะไรได้บ้าง

Facebook Dating ฟีเจอร์ใหม่ที่จะเพิ่มให้สมาชิกได้ใช้ในปี 2018

ในงาน F8 เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา Facebook ได้มีการประกาศว่าจะเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่เอาใจคนโสดที่ชื่อว่า Dating รับรองงานนี้เว็บไซต์หาคู่มีหนาว

หลังจากมีข่าวนี้ออกมาว่าจะมีฟีเจอร์ Facebook Dating ก็มีหลายคนแซวๆ ว่า แค่ปุ่ม Love กับปุ่ม Wow ยังทำให้คนมีคู่ร้าว (ฉาน) ไม่พออีกหรือ นี่เล่นเปิดฟีเจอร์หาคู่นัดเดทกันเลยทีเดียว

สำหรับเหตุผลที่พี่มาร์กแกบอกถึงการพัฒนาฟีเจอร์นี้ออกมาก็คือ เห็นว่าสมาชิก Facebook มีคนโสดอยู่จำนวนมาก เห็นว่าสเตตัสโสดในเฟสบุ้กมีถึง 200 ล้านคน เลยอยากเป็นคิวปิดช่วยสานสัมพันธ์ให้สมาชิกได้มีคู่ พี่แกว่างั้น!

และด้วยจำนวนสมาชิกทั้งหมดของ Facebook ก็ดี จำนวนคนโสดที่มีถึง 200 ล้านคนซึ่งจะโสดจริงหรือเปล่าไม่รู้ก็ดี การเชื่อมต่อที่สะดวกหรือใช้งานได้ง่าย และที่สำคัญสามารถใช้งานได้ฟรี งานนี้เว็บไซต์หรือแอปหาคู่ทั้งหลายคงตัวปรับตัวหรือหากลยุทธ์ใหม่มาสู้ฟีเจอร์นี้ของ Facebook กันแล้วล่ะ

สำหรับกำหนดการเปิดตัวฟีเจอร์ Facebook Dating นั้นยังไม่มีกำหนดที่แน่นอน บอกแต่เพียงว่าจะให้ใช้งานกันในปี 2018 นี้แหละ เอาน่ารออีกหน่อยจะเป็นไรไป เตรียมสเตตัสไว้ให้ดีก็แล้วกันว่าฉัน Single นะ จีบได้!

 

Gmail New Version เตรียมพบกับโฉมใหม่เร็วๆ นี้

ตอนนี้น่าจะมีหลายคนที่ได้รับอีเมลจาก Google แจ้งเรื่องการอัปเดต Gmail เวอร์ชั่นใหม่พร้อมกับลิงก์ให้เข้าไปทดลองใช้งาน

ถ้าใครยังไม่ได้รับเมลลองคลิกที่ลิงก์นี้ก็ได้ inbox.google.com ก็จะพบหน้า Gmail ที่ใช้งานอยู่ในรูปแบบใหม่ อินเตอร์แบบใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

หน้าตาของ Gmail แบบใหม่ นอกจากดีไซน์ที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งดูสมาร์ทมากขึ้น (แต่คงจะงงกันไม่น้อยล่ะในช่วงแรกของการปรับตัว) ถ้าใครเข้าไปตามลิ้งค์ที่บอกไว้ก็จะเห็นว่าอีเมลที่เข้ามาใน Inbox ไม่ได้เรียงกันเป็นตารางอีกแล้ว แต่จะแสดงเป็นแถบข้อความ ถ้าอีเมลฉบับไหนมีการแนบไฟล์ภาพมาด้วยก็จะมีภาพพรีวิวแสดงให้เห็นเลย

Gmail แบบใหม่ ยังมาพร้อมการใช้งานที่สมาร์ทขึ้นด้วยไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้งาน Gmail เอง เช่น คุณสมบัติ Smart Reply ที่สามารถตอบกลับอีเมลได้สะดวกขึ้น Snooze Email สามารถตั้งวันที่และเวลาของอีเมลใน Inbox ได้ว่าจะให้แสดงว่าเป็นอีเมลที่ยังไม่ได้อ่านหรืออีเมลที่เข้ามาใหม่ในวันที่เท่าไร เวลาไหน

และที่น่าจะช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้อีเมลและการจัดการกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ไม่น้อยก็คือ การที่ Gmail แบบใหม่จะพ่วงหรือเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชั่นต่างๆ ได้เลย เช่น แอป Google Calendar หรือ Dropbox เป็นต้น ทำให้เราสามารถเช็กตารางนัดหมาย บันทึกนัดหมาย หรืออัปโหลด/ดาวน์โหลดภาพกับ Dropbox ได้ทันที

นอกจากการใช้งานบนเดสก์ท็อปแล้ว Gmail เวอร์ชั่นใหม่คาดว่าจะรองรับและใช้งานบน Mobile Device ในรูปแบบเดียวกันนี้ด้วย

True มีให้ใช้แล้ว Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular

Apple Watch Series 3 เปิดตัวไปเมื่อปลายปี 2017 สิ่งหนึ่งที่สร้างความน่าสนใจให้กับสมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่นี้ก็คือ รุ่น Cellular ที่มาพร้อมกับ eSIM ซึ่งเป็นซิมการ์ดรุ่นใหม่ล่าสุด (eSIM คืออะไร)

ตอนนั้นเป็นที่น่าเสียดายว่าในไทยยังไม่มีรุ่น Cellular เนื่องจากบ้านเรายังไม่มีผู้ให้บริการรายใดที่มี eSIM ให้ใช้งาน แต่ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2018 ค่ายทรูก็ได้ฤกษ์จำหน่าย Apple Watch Series 3 รุ่น GPS + Cellular ที่มาพร้อมกับ eSIM ให้ใช้งานแบบ Apple Watch One Number ร่วมกับโทรศัพท์มือถือเป็นค่ายแรก

ดังนั้นใครที่ชื่นชอบ Apple Watch อยู่แล้ว และอยากได้ฟังก์ชันที่รองรับการใช้งานแทนโทรศัพท์ได้ คนที่ชอบออกกำลังกายแต่ไม่อยากพกโทรศัพท์ติดตั้วไปด้วย แต่ก็ไม่อยากพลาดการติดต่อ หรือคนที่สนใจของใหม่อย่าง eSIM ตอนนี้ก็สามารถที่จะเลือกหา Apple Watch 3 มาตอบโจทย์ได้เลย

โดย Apple Watch 3 รุ่น Cellular หรือรุ่นที่มี eSIM นั้นจะสามารถที่จะโทรออก-รับสายแทนโทรศัพท์ได้เลย รวมถึงเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อเข้าถึงข้อมูลหรือโวเชียลมีเดียต่างๆ ได้ทุกที่ทุกเวลาภายใต้เงื่อนไขการใช้งานแบบ Apple Watch One Number หรือก็คือการที่ใช้หมายเลขเดียวกับโทรศัพท์ที่เชื่อมต่อกันอยู่

เงื่อนไขและแพ็กเกจการใช้งาน

เงื่อนไขการใช้ Apple Watch Series 3 ร่วมกับโทรศัพท์มือถือในรูปแบบของ Apple Watch One Number ได้นั้นจะต้องเป็นลูกค้าหรือผู้ที่ใช้งานหมายเลขของ Truemove แบบรายเดือนในแพ็กเกจ 499 บาท/เดือนขึ้นไป ยกเว้นแพ็กเกจ 4G+ Family Share Plan เท่านั้นที่ไม่สามารใช้ได้

ใครอยากรู้ว่าหมายเลขหรือเบอร์ของตัวเองสามารถใช้โทรศัพท์ร่วมกับ Apple Watch 3 ได้ไหม สามารถตรวจสอบด้วยตัวเองได้ที่ “ตรวจสอบสิทธิ์การใช้งาน Apple Watch

นอกจากแพ็กเกจการใช้งานที่จะต้องเป็นแพ็กเกจ 499 บาท/เดือนขึ้นไปแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ควรรู้คือ การใช้งาน eSIM กับ Apple Watch 3 นั้นจะต้องมีค่าเปิดใช้บริการด้วย 299 บาท และค่าบริการหรืออีกนัยหนึ่งก็คือค่าธรรมเนียมการใช้งาน eSIM เดือนละ 199 บาท (ไม่เกี่ยวกับค่าโทรและค่าใช้งานอินเทอร์เน็ต) ทั้งนี้ค่าบริการทั้ง 2 ส่วนของ eSIM อาจจะเสียหรือไม่เสีย หรือได้รับการยกเว้นเป็นระยะเวลาเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่ภายใต้เงื่อนไขโปรโมชั่นของผู้ให้บริการด้วย ต้องตรวจสอบรายละเอียดตามช่วงเวลา

รุ่นและราคาของ Apple Watch 3

ก็ถือว่าน่าสนใจและเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่อยากมีวิถีการติดต่อในอีกลักษณะหนึ่งที่ไม่ต้องยึดติดกับเครื่องโทรศัพท์เสมอไป

EHang 184 โดรนจีนผงาดฟ้า ทดสอบจนสำเร็จเตรียมใช้จริงเร็วๆ นี้

Passenger Drone หรือโดรนโดยสารจะเป็นแบบส่วนบุคคลหรือแบบให้บริการสาธารณะหรือแท็กซี่ก็ตาม อีกไม่นานคงเป็นยานพาหนะที่เข้ามามีบทบาทกับวิถีชีวิตของเราอย่างแน่นอน

ประมาณ 2-3 ปีก่อนเราได้เห็นโปรเจ็กการสร้างและทดลอง Passenger Drone ของผู้พัฒนาหลายเจ้าไม่ว่าจะเป็นที่ดูไบ Uber หรือที่จีน โดยที่จีนมีชื่อเรียกขานว่า EHang 184 หลังจากสร้างกระแสได้ช่วงหนึ่งก็ดูเหมือนว่าข่าวคราวจะเงียบหายไป แต่ในวันนี้ EHang 184 ได้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับความสำเร็จ

ต้องยอมรับจริงๆ ว่าเมืองจีนตอนนี้พัฒนาไปไกลทั้งด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี หลังจากทดสอบการบินนับพันๆ เที่ยว เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018 สื่อจีน CGTN ก็ได้รายงานข่าวความสำเร็จของ EHang 184 โดยคาดว่าอาจมีการนำ Passenger Drone รุ่นดังกล่าวนี้ไปใช้งานทั้งในจีนและประเทศอื่นในโลกในปีนี้

สำหรับสมรรถนะของ EHang 184 นั้นเป็นโดรนแบบ 4 ใบพัดรองรับผู้โดยสารได้ 1 คน รับน้ำหนักได้ 100 กิโลกรัม ทำความเร็วได้ 100 กม./ชม. ระดับความสูงที่บินได้สูงสุดอยู่ที่ 500 เมตร ขีดจำกัดของการบิน 25 นาทีจากการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ไฟฟ้า นอกจากนั้นยังมีการออกแบบในเรื่องของความปลอดภัยไว้ในระดับหนึ่ง เช่น การทนต่อแรงลมระดับปานกลางที่มีความเร็ว 50 กม./ชม. หรือการเตือนให้ผู้โดยสารนำโดรนลงจอดฉุกเฉิน เป็นต้น

นับว่าน่าสนใจมากทีเดียวกับพาหนะรูปแบบใหม่นี้ น่าจะช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางและปัญหาการจราจรบนท้องถนนได้ดีทีเดียว แต่เมื่อมีการใช้งานมากขึ้น ก็คงต้องวางแผนเรื่องโครงสร้างและการจัดการให้ดี ซึ่งเป็นเรื่องของอนาคต แต่อย่างไรก็คงต้องเกิดขึ้นอน่างแน่นอน

นอกจากโดรนแบบ 1 ที่นั่งแล้ว หากดูในวิดีโอจะเห็นโดรนแบบ 8 ใบพัดที่รองรับผู้โดยสาร 2 ที่นั่งด้วย น่าจะเป็นอีกโปรเจ็กหรืออีกรุ่นหนึ่งที่อาจต่อยอดขึ้นมาจากโปรเจ็กนี้ เห็นข่าวแบบนี้ก็หวังลึกๆ ว่าประเทศไทยจะมีโอกาสได้ใช้กับเขาบ้าง แต่ก็คงอีกนานพอดู เพราะตอนนี้แค่รถยนต์ไร้คนขับยังไร้วี่แววอยู่เลย ลำพังแค่รถไฟฟ้าก็ยังยากเย็นที่จะได้ใช้

Facebook เครื่องมือเพื่อความเป็นส่วนตัวสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นแล้ว

สัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เราตระหนักถึงสิ่งที่เราต้องเร่งดำเนินการปรับปรุง เพื่อบังคับใช้นโยบายของเราให้ดียิ่งขึ้น และเพื่อช่วยให้ผู้คนเข้าใจวิธีการทำงานของ Facebook และทางเลือกที่พวกเขาสามารถใช้เพื่อควบคุมข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาได้ เราเข้าใจดีว่าก่อนหน้านี้ การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวและเครื่องมือที่สำคัญอื่น ๆ ค้นหาได้ยาก และเราต้องดำเนินการอย่างเต็มที่และเต็มกำลังในการให้ข้อมูลกับผู้ใช้ ดังนั้น นอกเหนือจากโพสต์การประกาศของ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เมื่อสัปดาห์
ที่แล้ว เกี่ยวกับการป้องกันการใช้งานแพลตฟอร์ม Facebook ในทางที่ผิด การปรับนโยบายของเราให้เข้มงวดยิ่งขึ้น และการช่วยให้ผู้ใช้งานเรียกคืนข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาจากการอนุญาตให้แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ นำข้อมูลไปใช้นั้น เรายังจะเพิ่มมาตรการอื่น ๆ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อให้ผู้ใช้สามารถควบคุมความเป็นส่วนตัวของพวกเขาได้ดียิ่งขึ้น โดยการอัพเดทส่วนใหญ่นี้
ถูกพัฒนามาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในหลายวันที่ผ่านมาได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของการดำเนินการดังกล่าวมากยิ่งขึ้น

เครื่องมือและการตั้งค่าข้อมูลจะสามารถค้นหาได้ง่ายขึ้น

การควบคุมที่สามารถค้นหาและใช้งานง่ายยิ่งขึ้น

เราได้ออกแบบเมนูการตั้งค่าบนโทรศัพท์ขึ้นใหม่ทั้งหมดในทุก ๆ ส่วน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาเมนูการตั้งค่าได้ง่ายยิ่งขึ้น แทนที่จะกระจายอยู่ตามหน้าจอต่าง ๆ เกือบ 20 หน้าจอ ในขณะนี้ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงการตั้งค่าทั้งหมดจากหน้าจอเดียวได้ และเรายังได้ปรับปรุงการตั้งค่าที่ไม่อัพเดตเพื่อแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าข้อมูลใดสามารถแชร์ได้หรือไม่ได้ร่วมกับแอพต่างๆ

เมนูทางลัดสู่ความเป็นส่วนตัวรูปแบบใหม่หรือ Privacy Shortcuts

นอกจากการปรับเมนูการตั้งค่าของเราให้ใช้งานง่ายขึ้นแล้ว เรายังได้รับคำแนะนำจากผู้ใช้งานว่าข้อมูลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และโฆษณาต่าง ๆ ควรถูกปรับให้ค้นหา
ได้ง่ายยิ่งขึ้น ทางลัดสู่ความเป็นส่วนตัวแบบใหม่หรือ Privacy Shortcuts คือเมนูที่จะช่วยให้คุณควบคุมข้อมูลผ่านการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง พร้อมคำอธิบายที่ชัดเจนยิ่งขึ้นเกี่ยวกับวิธีการดำเนินงานด้านการควบคุมของเรา ในขณะนี้ เราได้นำเสนอประสบการณ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้เห็นภาพได้ดีขึ้น ชัดเจนยิ่งขึ้น และค้นหาได้ง่ายยิ่งขึ้น จากการอัพเดทนี้ คุณสามารถ

  • ทำให้บัญชีผู้ใช้ของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้น คุณสามารถเพิ่มขั้นตอนในการป้องกันบัญชีผู้ใช้ของคุณ ด้วยวิธีที่คล้ายกับการยืนยันตัวตนแบบ 2 ขั้นตอน (two-factor authentication) หากคุณเปิดใช้งานฟังก์ชั่นนี้และมีผู้ที่พยายามจะเข้าสู่ระบบบัญชีผู้ใช้ของคุณจากอุปกรณ์ที่เราไม่คุ้นเคย คุณจะได้รับการแจ้งเตือนพร้อมคำถามเพื่อการยืนยันตัวตนของคุณ
  • ควบคุมข้อมูลส่วนตัวของคุณ คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลที่คุณเคยแชร์ไว้ และสามารถลบข้อมูลนั้น ๆ ออกได้หากต้องการ ซึ่งรวมถึงโพสต์ที่คุณเคยแชร์หรือโต้ตอบด้วย คำขอเป็นเพื่อนที่คุณเคยส่ง และสิ่งที่คุณได้ค้นหาบน Facebook
  • ควบคุมโฆษณาที่คุณเห็น คุณสามารถจัดการข้อมูลที่เราใช้เพื่อแสดงโฆษณาต่าง ๆ ให้แก่คุณได้ โดยเมนูการกำหนดลักษณะโฆษณา (Ad preferences) จะอธิบายถึงวิธีการทำงานของโฆษณาและตัวเลือกที่คุณสามารถใช้เพื่อกำหนดลักษณะโฆษณาที่คุณจะเห็น
  • จัดการเลือกแสดงโพสต์และข้อมูลโปรไฟล์ของคุณ คุณคือเจ้าของข้อมูลที่คุณได้แบ่งปันบน Facebook และคุณสามารถจัดการสิ่งต่าง ๆ เช่น เลือกบุคคลที่คุณต้องการให้เห็นโพสต์หรือข้อมูลที่คุณเลือกให้แสดงบนโปรไฟล์ของคุณ เป็นต้น

เครื่องมือเพื่อค้นหา ดาวน์โหลด และลบข้อมูลบน Facebook ของคุณ

แน่นอนว่าการชี้แจงถึงนโยบายของเราในการรวบรวมและนำข้อมูลไปใช้งานนั้นสำคัญมาก แต่

การแสดงให้ผู้ใช้ได้เห็นและจัดการกับข้อมูลของพวกเขาเองนั้นจะเป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น บางคนอาจต้องการลบสิ่งที่พวกเขาเคยแชร์ไว้บน Facebook ในอดีต ในขณะที่คนอื่น ๆ อาจสงสัยว่า Facebook เก็บข้อมูลอะไรของพวกเขาเอาไว้บ้าง เราจึงขอแนะนำฟังก์ชั่นใหม่ในการเข้าถึงข้อมูลของคุณหรือ Access Your Information ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลของพวกเขาได้อย่างปลอดภัย เช่น โพสต์ การแสดงความรู้สึกต่อโพสต์ การแสดงความคิดเห็น

และสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาได้ค้นหาบน Facebook คุณสามารถใช้บริการนี้เพื่อลบข้อมูลใดก็ตามที่คุณ

ไม่ต้องการให้แสดงอยู่บน Facebook ออกจากไทม์ไลน์หรือโปรไฟล์ของคุณได้อีกด้วย

เรายังทำให้การดาวน์โหลดข้อมูลที่คุณเคยแชร์ไว้บน Facebook เป็นเรื่องง่ายยิ่งขึ้น เพราะสุดท้ายแล้ว ข้อมูลเหล่านั้นล้วนแต่เป็นข้อมูลของคุณเอง โดยคุณสามารถดาวน์โหลดสำเนาข้อมูลเอาไว้ได้อย่างปลอดภัย หรือแม้กระทั่งย้ายข้อมูลนั้นไปยังช่องทางบริการอื่น ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ ได้แก่ รูปภาพที่คุณเคยอัพโหลด ข้อมูลการติดต่อที่คุณเลือกให้แสดงอยู่ในบัญชีผู้ใช้ รวมถึงโพสต์บนไทม์ไลน์ของคุณ และอื่นๆ 

แนวทางในอนาคต

การแจ้งให้ทราบถึงวิธีการเก็บและใช้งานข้อมูลของคุณอย่างละเอียดและเข้าใจง่ายนับเป็น
ความรับผิดชอบและหน้าที่ของเรา ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า เราจะนำเสนอการอัพเดทเกี่ยวกับข้อกำหนดในการบริการของ Facebook ซึ่งรวมถึงความรับผิดชอบที่มีต่อผู้ใช้ของเรา นอกจากนี้ เรายังจะอัพเดทนโยบายเกี่ยวกับข้อมูลเพื่อให้รายละเอียดอย่างชัดเจนว่าเราเก็บข้อมูลใดจากผู้ใช้บ้าง และข้อมูลเหล่านั้นถูกนำไปใช้งานอย่างไร ซึ่งอัพเดทเหล่านี้มาจากเจตนาที่ต้องการแสดงความโปร่งใสต่อผู้ใช้ และไม่ใช่การขอสิทธิใหม่ในการเก็บ ใช้งาน และแบ่งปันข้อมูลของผู้ใช้แต่อย่างใด

เราได้ทำงานร่วมกับผู้มีอำนาจในการควบคุม ผู้บัญญัติกฎหมาย และผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายความเป็นส่วนตัว ในการพัฒนาเครื่องมือและอัพเดทเหล่านี้ และเราจะให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดำเนินการเหล่านี้ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งรวมถึงอัพเดทเกี่ยวกับมาตรการที่มาร์คได้ประกาศไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วอีกด้วย

Honda ใช้เทคโนโลยี 3D Printing ออกแบบรถขนส่งขนาดเล็ก

บทความโดย : กิตติ ภูวนิธิธนา

เทคโนโลยีทางด้านไอทีเริ่มเข้าไปมีบทบาทกับการพัฒนารถยนต์มากขึ้นหรือกล่าวได้ว่า เทคโนโลยีทางด้านไอทีเริ่มเป็นหนึ่งเดียวกับเทคโนโลยียานยนต์มากขึ้น เริ่มตั้งแต่ที่รถยนต์เริ่มมีการควบคุมด้วยสมองกลหรือ ECU จากนั้นเราก็ได้เห็นการนำเอาเทคโนโลยีทางด้านอิเล็กทรอนิกส์และไอทีเข้าไปใช้ในระบบต่างๆ ของรถยนต์มากขึ้นจนในขณะนี้เริ่มมีการพัฒนาระบบปฏิบัติเพื่อใช้งานในการควบคุมรถยนต์แล้ว หรือที่เห็นเป็นรูปธรรมสักหน่อยเป็นเทคโนโลยีใกล้ๆ ตัวในตอนนี้ก็อย่างเช่น ระบบอินโฟเทนเม้นต์ในรถยนต์ที่รองรับการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนผ่านระบบ Apple CarPlay หรือ Android Auto

ครั้งนี้มีอีกหนึ่งนวัตกรรมทางด้านไอทีที่เข้าไปมีบทบาทกับการพัฒนารถยนต์มาพูดคุยกันนั่นคือ การใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ หรือ 3D Printing ในการสร้างหรือผลิตรถยนต์ การพัฒนาที่หยิบยกมาคุยเป็นโครงการของฮอนด้า

ฮอนด้าอาจไม่ใช่เจ้าแรกที่มีการนำเอาเทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติไปใช้กับการพัฒนารถยนต์ แต่เป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่เพิ่งมีผลงานโชว์ในงาน CEATEC 2016 ที่ผ่านมาและได้รับความสนใจอย่างมาก

โครงการนี้ฮอนด้ามีวัตถุประสงค์ที่ต้องการพัฒนาวิธีการสร้างตัวถังรถยนต์สำหรับรถขนส่งขนาดเล็กตามรูปแบบที่ลูกค้าหรือบริษัทขนส่งต้องการ เป้าหมายสำคัญไม่ได้อยู่ที่บอดี้หรือรูปแบบตัวถังอย่างเดียวแต่อยู่ที่ฟังก์ชันหรือรูปแบบการใช้ประโยชน์ของพื้นที่วางของในตัวรถ ส่วนเหตุผลที่เริ่มจากพัฒนารถขนส่งขนาดเล็กก่อนเพื่อรองรับการขนส่งในพื้นที่หรือเส้นทางที่คับแคบ

รถขนส่งขนาดเล็กที่ว่านี้เล็กมากในระดับ Micro Car เลยทีเดียว ใครนึกภาพไม่ออกว่าไมโครคาร์เล็กขนาดไหน ก็ประมาณรถตุ๊กตุ๊กบ้านเรานั่นเอง

งานนนี้ฮอนด้าร่วมมือกับผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการออกแบบทางด้านดิจิตอลอย่าง Kabuku โดยฮอนด้านำรถต้นแบบ Micro Commuter ของตนในส่วนของโครงสร้างตัวถัง เครื่องยนต์ และช่วงล่างมาให้ Kabuku ออกแบบในส่วนของบอดี้ โดยมีต้นแบบเป็นรถขนส่งของบริษัทขนส่งแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า Toshimaya จะเห็นว่าบอดี้หรือตัวถังของรถมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยพื้นที่ด้านหลังออกแบบให้เป็นที่วางของหรือสินค้า แม้แต่โลโก้ของบริษัทก็สามารถที่จะออกแบบได้ และที่เฉพาะตัวมากๆ ซึ่งเป็นจุดเด่นของการใช้เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติคือ ลวดลายที่ฝาท้ายซึ่งออกแบบเป็นลายฉลุ

เรียกว่าออกแบบตัวถังและพื้นที่ใช้สอยได้ตามสั่ง และใช้ระยะเวลาการทำไม่นานประมาณ 2 เดือนเท่านั้น เห็นอย่างนี้แล้วนึกถึงการเปลี่ยนเคสโทรศัพท์มือถือจริงๆ อีกไม่นานรถยนต์ก็คงเปลี่ยนบอดี้ได้เหมือนเคสโทรศัพท์เหมือนกันสินะ

ที่มา : engadget.com