vivo เปิดตัว Y100 5G ชูความลงตัวของสไตล์และฟังก์ชันพร้อมส่งมอบความสนุกกับสเปกเต็ม 100!

หลังจากเขย่าวงการกล้องถ่ายภาพบนสมาร์ตโฟนด้วยการเปิดตัวมือถือ 2 รุ่นล่าสุดจากทั้งตระกูล X Series และ V Series พร้อมเทคโนโลยีระดับเทพรับต้นปี ล่าสุด vivo แบรนด์สมาร์ตโฟนชั้นนำระดับโลก กลับมาอีกครั้งพร้อมการเปิดตัว Y100 5G น้องเล็กจากตระกูล Y Series ที่โดดเด่นไม่แพ้รุ่นพี่ด้วยดีไซน์ทันสมัยและสเปกการใช้งานที่อัดแน่นแบบเต็ม 100 ไม่ว่าจะเป็นจอแสดงผล Ultra Vision AMOLED แบบเจาะรู ขนาด 6.67 นิ้ว ความละเอียด 120Hz และระบบเสียงแบบลำโพงสเตอริโอคู่ เพื่อการดื่มด่ำกับทุกคอนเทนต์อย่างเต็มที่ เสริมด้วยความจุ ROM เต็มอิ่มถึง 256GB ควบคู่กับ RAM 8GB เพื่อการใช้งานที่ลื่นไหลไม่สะดุด อีกทั้งยังไร้กังวลเรื่องการใช้งานตลอดวันด้วยแบตเตอรี่จุใจ 5000mAh และระบบชาร์จไว 80W

สำหรับการส่ง Y100 5G สู่ตลาดประเทศไทยอย่างเป็นทางการ vivo จัดงานเปิดตัวรูปแบบออนไลน์ผ่าน Live Streaming บนช่องทางโซเชียลมีเดีย ภายใต้แนวคิด ‘Have Fun with 100/100 Spec’ หรือ ‘สนุกกับสเปกเต็ม 100’ พร้อมชวนพรีเซนเตอร์คนใหม่ล่าสุดอย่าง ‘เบคกี้-รีเบคก้า แพทรีเซีย อาร์มสตรอง’ นักร้อง-นักแสดงสาวสวยลูกครึ่งไทย-อังกฤษ มาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์การใช้งาน และเป็นตัวแทนส่งมอบความสนุกแบบจัดเต็มให้กับทั้งผู้โชคดี 20 ท่านและผู้ชมทางบ้าน นอกจากนี้ยังยกเวทีการแสดงสุดพิเศษจาก ‘LYKN’ 5 หนุ่มคลื่นลูกใหม่แห่งวงการ T-POP มาให้แฟน ๆ ได้รับชมกันอย่างจุใจ

ดีไซน์ล้ำสมัย ทนทานทุกการใช้งาน

vivo Y100 5G โดดเด่นด้วยดีไซน์ทันสมัยตามแบบฉบับสมาร์ตโฟนตระกูล Y Series แต่เสริมความพรีเมียมยิ่งขึ้นด้วยการเป็นสมาร์ตโฟนรุ่นแรกจาก Y Series ที่มาพร้อมวัสดุฝาหนัง EcoFiber ในเฉดสีม่วงเลเธอร์เพอเพิล (Leather Purple) ผสานเข้ากับกรอบ Metallic High-Gloss เคลือบเงา ตกแต่งด้วยลวดลายแบบ 3 มิติ มอบสัมผัสอันหรูหราน่าหลงใหลกว่าที่เคย นอกจากนี้ยังเปิดตัวพร้อมอีกหนึ่งตัวเลือกสีสำหรับผู้ใช้งานที่ชื่นชอบความคลาสสิก ได้แก่ สีดำคริสตัลแบล็ก (Crystal Black) ที่เสริมความน่าดึงดูดด้วยลวดลายคริสตัล 3D ผสมผสานความเรียบง่ายเข้ากับความหรูหราได้อย่างลงตัว

vivo ชูจุดเด่นด้านการผสมผสานดีไซน์และแฟชันเข้ากับความทนทานด้วยการนำเสนอเทคโนโลยี Anti-Stain Coating สุดล้ำสมัยเพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งาน โดยตัวเครื่อง vivo Y100 5G มีการออกแบบและผลิตฝาหลังด้วยวัสดุที่ผ่านการทดสอบคุณภาพอย่างเข้มงวด ซึ่งนอกจากจะส่งมอบความสวยงามและสัมผัสระดับพรีเมียมแล้ว ยังโดดเด่นด้วยคุณสมบัติป้องกันรอยเปื้อน รอยขีดข่วน ฝุ่น และทนทานต่อการสึกหรอจากรังสี UV เสริมด้วยมาตรฐานป้องกันฝุ่นละอองและน้ำระดับ IP54 ช่วยเติมเต็มความมั่นใจในทุกสภาพแวดล้อมการใช้งาน

ทรงพลัง ลื่นไหล ตอบโจทย์ทุกความบันเทิง

vivo Y100 5G สมาร์ตโฟนน้องเล็กราคาจับต้องได้ที่ให้สเปกมาแบบเต็ม 100 มาพร้อมพื้นที่เก็บข้อมูลขนาดใหญ่ถึง 256GB รองรับการใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเก็บไฟล์สำคัญ หรือความทรงจำอันน่าประทับใจในรูปแบบภาพถ่าย หรือวิดีโอ ทรงพลังและลื่นไหลด้วยชิปประมวลผล Snapdragon 4 Gen 2 ควบคู่กับระบบปฏิบัติการ Funtouch OS 14 ที่ทำงานร่วมกับ Memory Booster และ RAM เสริมสูงสุด 8GB ช่วยส่งมอบประสบการณ์การใช้งานอันราบรื่น อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ RAM Saver และ App Retainer ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถจัดการแรมและเข้าถึงแอปพลิเคชันได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น

ดื่มด่ำกับประสบการณ์ความบันเทิงอย่างเหนือระดับด้วยหน้าจอแสดงผล Ultra Vision AMOLED แบบเจาะรูขนาดใหญ่ถึง 6.67 นิ้ว พร้อมรีเฟรชเรท 120Hz และระบบเสียง 300% Volume Audio Booster บนลำโพงคู่แบบสเตอริโอ มอบภาพคมชัดเต็มตาควบคู่กับเสียงอันทรงพลัง ไร้กังวลเรื่องการใช้งานตลอดวันด้วยแบตเตอรี่ขนาดจุใจ 5000mAh และระบบชาร์จไว 80W

เก็บทุกโมเมนต์ประทับใจด้วยเทคโนโลยีการถ่ายภาพอัจฉริยะ

vivo Y100 5G เปิดตัวพร้อมระบบกล้องอันทรงพลัง ประกอบด้วยกล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล กล้อง Portrait ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และกล้อง Ultra Wide Angle ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ที่รองรับมุมมองกว้างถึง 120 องศา พร้อมอัลกอริทึมที่ช่วยลดการบิดเบี้ยวของภาพ ให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายภาพพาโนรามาหรือภาพกลุ่มกับคนที่รักได้อย่างครบถ้วน สวยงามทุกรายละเอียด

เสริมความสนุกให้กับการถ่ายภาพด้วยฟีเจอร์สำหรับการปรับแต่งที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มเอกลักษณ์ให้กับภาพถ่ายด้วย Photo Borders หรือยกระดับความคิดสร้างสรรค์บนภาพถ่ายบุคคลด้วย Portrait Light Effect และ Multi-Style Portrait ที่มีลูกเล่นให้เลือกสรรตามความชอบของผู้ใช้งาน

อีกทั้งยังมาพร้อม Super Night Algorithm เพื่อการถ่ายภาพในที่แสงน้อย มอบผลลัพธ์ภาพถ่ายที่สว่างและคมชัดอย่างเป็นธรรมชาติ และฟังก์ชันที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการถ่าย Vlog อย่าง Dual-View Video ที่สามารถบันทึกภาพจากทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังได้พร้อมกัน ตลอดจนฟีเจอร์สำหรับการใช้งานกล้องในรูปแบบอื่น ๆ อย่างการสแกนและปรับแต่งเอกสารให้คมชัด พร้อมระบบจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ

รายละเอียดการวางจำหน่าย

vivo Y100 5G วางจำหน่ายในขนาดความจุ 8GB+256GB พร้อม 2 ตัวเลือกสี ได้แก่ สีม่วงเลเธอร์เพอเพิล (Leather Purple) และสีดำคริสตัลแบล็ก (Crystal Black) ในราคา 9,999 บาท โดยผู้ที่สั่งซื้อภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2567 จะได้รับของสมนาคุณ E-VIP Card มูลค่า 5,999 บาท รับประกันตัวเครื่อง 2 ปี และประกันหน้าจอแตก 1 ครั้ง ภายใน 2 ปีแรก ผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ vivo Brand Shop ทุกสาขา และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ

สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊ก vivo Thailand และเว็บไซต์ https://www.vivo.com/th

#vivoY1005G #สนุกกับสเปกเต็ม100

Intel ประกาศเปิดใช้งานใหม่สำหรับ AI PC เพื่อนักพัฒนาซอฟต์แวร์และผู้จำหน่ายฮาร์ดแวร์

การเปิดใช้งานโปรแกรมเร่งความเร็วสำหรับ AI PC ของอินเทลในครั้งนี้ ช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์และผู้จัดจําหน่ายซอฟต์แวร์อิสระ (ISV) เข้าถึงการใช้ประโยชน์จาก AI บนพีซี กว่า 300 ฟีเจอร์

บริษัท Intel Corporation ได้ประกาศการริเริ่มโครงการด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI) ใหม่สองโครงการโดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ AI PC Acceleration โดยโปรแกรม AI PC Developer และการเพิ่มผู้จำหน่ายฮาร์ดแวร์อิสระเข้าสู่โครงการครั้งนี้ นี่ถือเป็นสิ่งสำคัญของอินเทลในการเปิดใช้งานซอฟต์แวร์ไคลเอนต์และระบบนิเวศของฮาร์ดแวร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและเปิดใช้งานปัญญาประดิษฐ์ (AI) บน AI PC ซึ่งขับเคลื่อนโดย Intel กว่า 100 ล้านเครื่อง ภายในปี 2025

“การขยายเชิงกลยุทธ์ของโปรแกรม AI PC Acceleration ในครั้งนี้ อินเทลมุ่งสร้างการเข้าถึงที่เรียบง่ายให้แก่เหล่านักพัฒนาหลากหลายประเภท โดยการจัดหาเครื่องมือ ทรัพยากร และผู้เชี่ยวชาญ เพื่อสร้างระบบนิเวศของนักพัฒนา AI PC ให้มีชีวิตชีวา” Carla Rodriguez รองประธานและผู้จัดการทั่วไปฝ่าย Client Software Ecosystem Enabling ของอินเทล กล่าว

ความสามารถของโปรแกรมใหม่: โปรแกรม AI PC Developer ได้รับการออกแบบโดยเฉพาะเพื่อนักพัฒนาซอฟต์แวร์และผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์อิสระ (ISV) เพื่อมอบประสบการณ์ที่ราบรื่น และทำให้นักพัฒนาสามารถนำเทคโนโลยี AI ใหม่มาใช้ในวงกว้างได้อย่างง่ายดาย การเข้าถึงชุดเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาก่อนใคร รวมถึงฮาร์ดแวร์ของอินเทลที่ขับเคลื่อนโดยโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ Ultra, Pre-installed ซอฟต์แวร์ Stack, เครื่องมือและเวิร์กโฟลว์, เฟรมเวิร์กการปรับใช้ AI, โค้ดตัวอย่าง, กรณีใช้งาน, กิจกรรม, ผู้เชี่ยวชาญ และนวัตกรรม Intel Developer Zone

นวัตกรรม Intel Developer Zone ได้รับการพัฒนาให้เป็น One-stop shop สำหรับนักพัฒนาในการเข้าถึงชุดเครื่องมือ AI PC สำหรับลูกค้า เอกสาร และการฝึกต่าง ๆ โดยทรัพยากรเหล่านี้ช่วยให้นักพัฒนาสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีโปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra ได้อย่างเต็มที่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน AI และ machine learning (ML) อย่างสูงสุด และเร่งการใช้งานของเคสใหม่ โดยนักพัฒนาสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโปรแกรมและเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของโปรแกรมได้ผ่านทางเว็บไซต์ของอินเทล

การเพิ่มจำนวนผู้จำหน่ายฮาร์ดแวร์อิสระ (IHV) เข้าสู่โครงการ AI PC Acceleration ในครั้งนี้ช่วยให้พันธมิตรด้านฮาร์ดแวร์มีโอกาสเตรียมพร้อม ปรับแต่ง และเพิ่มประสิทธิภาพ ฮาร์ดแวร์ของตนสำหรับ AI PC อีกทั้งพันธมิตรอื่น ๆ ที่ผ่านการรับรองจะสามารถเข้าถึง Open Labs ของ Intel ซึ่งพวกเขาจะได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคและการพัฒนาร่วมกันในด้านวิศวกรรมในช่วงแรกของการพัฒนาโซลูชันฮาร์ดแวร์และแพลตฟอร์มของตน นอกจากนี้ อินเทลยังได้จัดเตรียมฮาร์ดแวร์อ้างอิงเพื่อให้พันธมิตรผู้จำหน่ายฮาร์ดแวร์อิสระ ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมงสามารถทดสอบและเพิ่มประสิทธิภาพเทคโนโลยีของตนเพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เมื่อถึงเวลาที่เปิดตัว

“อินเทล ได้รับผู้จำหน่ายฮาร์ดแวร์ 150 รายทั่วโลกเข้าร่วมในโครงการ AI PC Accelerator โดยเรารู้สึกตื่นเต้นที่จะขยายโซลูชันฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ก้าวล้ำของเราเพื่อดันแรงผลักดันนี้ไปสู่ระบบนิเวศที่เปิดกว้างของนักพัฒนาของเรา” Matt King ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย Client Hardware Ecosystem ของอินเทล กล่าว

ผู้จำหน่ายฮาร์ดแวร์อิสระ (IHV) สามารถลงทะเบียนเข้าสู่โครงการ AI PC Acceleration ได้ผ่านทางเว็บไซต์ของอินเทล

สาระสำคัญ: ปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของผู้คนในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นวิธีการทำงาน การเรียนรู้ และการสร้างสรรค์ผลงาน ด้วยซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่ได้รับการปรับแต่งซึ่งขับเคลื่อนโดยแพลตฟอร์มระดับแนวหน้าของอินเทล ไม่ว่าจะเป็นหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) หน่วยประมวลผลประสาท (NPU) และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) ที่จะช่วยให้ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ด้วย AI PC ซึ่งอินเทลได้ร่วมมือกับพันธมิตรมากมายพร้อมให้ระบบนิเวศที่เปิดกว้างเพื่อช่วยให้ user สามารถสัมผัสกับประสิทธิภาพ ผลผลิต นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ที่ได้รับการพัฒนา ทั้งนี้อินเทลกำลังขับเคลื่อนความก้าวหน้าในยุค AI PC พร้อมทั้งเสริมศักยภาพในการพัฒนาให้กับบริษัทผู้พัฒนาระบบ ผู้จัดจําหน่ายซอฟต์แวร์อิสระ (ISV) และผู้จัดจําหน่ายฮารด์แวร์อิสระ (IHV)

อินเทลมอบคุณค่าเพิ่มเติมให้แก่นักพัฒนาซอฟต์แวร์ อาทิ

  • ปรับปรุงความเข้ากันได้: ด้วยการเข้าถึงชุดนักพัฒนา เครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ และทรัพยากรซอฟต์แวร์ก่อนใคร นักพัฒนาสามารถมั่นใจได้ว่าซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชันของพวกเขาสามารถทำงานได้อย่างราบรื่นบนโปรเซสเซอร์ของอินเทลรุ่นล่าสุด ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความเข้ากันได้และประสบการณ์ผู้ใช้โดยรวม
  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน: การเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์สำหรับสถาปัตยกรรมฮาร์ดแวร์ในช่วงต้นของกระบวนการพัฒนาจะสามารถนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผล และให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นหลังจากการเข้าถึง AI PC อย่างแพร่หลาย
  • การขยายขอบเขตระดับโลก:  ความร่วมมือของอินเทลและเหล่าพันธมิตรในระบบนิเวศที่เปิดกว้างในใช้งาน AI ครั้งนี้จะช่วยขยายโอกาสในการนำเสนอระบบนิเวศ การเข้าสู่ตลาดใหม่และการเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรม

นอกจากนี้ อินเทลยังมีการนำเสนอชุดเครื่องมือที่หลากหลายสำหรับนักพัฒนา AI เพื่อเร่งการใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์มากกว่า 300 รายการที่จะนำออกสู่ตลาดด้วยโปรเซสเซอร์ Intel Core Ultra ผ่านการออกแบบจากผู้ผลิตอุปกรณ์ 12 รายทั่วโลก รวม 230 ดีไซน์

เกี่ยวกับ โปรแกรม AI PC Acceleration: โปรแกรม AI PC Acceleration ประกาศเปิดตัวช่วงเดือนตุลาคม 2023 โดยมีจุดมุ่งหมายในการเชื่อมโยงผู้จัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์อิสระและผู้จำหน่ายซอฟต์แวร์อิสระเข้ากับทรัพยากรของอินเทล ซึ่งประกอบด้วย เครื่องมือสำหรับปัญญาประดิษฐ์ การฝึกอบรม วิศวกรรมร่วม การเพิ่มประสิทธิภาพซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ทรัพยากรการออกแบบ ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิค การตลาดร่วม และโอกาสในการขาย

โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ Intel’s AI PC page สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ AI PC ของอินเทล

Kingston Technology ครองตำแหน่งผู้นำส่วนแบ่งการตลาด SSD ในปี 2566 ติดต่อกันเป็นปี

ที่ Kingston Technology ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์หน่วยความจำและโซลูชันเทคโนโลยีระดับโลก ประกาศความสำเร็จหลังสามารถคงตำแหน่งผู้นำอันดับ 1 ประจำไตรมาส (QoQ) ไว้ได้อีกครั้ง โดยการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่องนี้ส่งผลให้ Kingston ครองส่วนแบ่งตลาดด้าน SSD ได้ถึง 23.8% ในปี 2566

ข้อมูลจาก TRENDFOCUS ตอกย้ำว่า Kingston เป็นผู้จัดจำหน่าย SSD แบบรายย่อยอันดับหนึ่งในแง่ของส่วนแบ่งการตลาด โดยจัดส่ง SSD แบบรายย่อยไปจำนวน 27.4 ล้านชิ้นในปี 2566 และเฉพาะแค่ในไตรมาสสี่ ส่วนแบ่งตลาด SSD แบบรายย่อยของ Kingston อยู่ที่ 21.3% พร้อมยอดการจัดส่ง 5.7 ล้านชิ้น

ด้วยความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาไดร์ฟแบบรายย่อยคุณภาพสูงอย่าง NV2 หรือ Kingston FURY Renegade SSD ซึ่งมาพร้อมสองทางเลือก และ KC3000 ทำให้ไดรฟ์เหล่านี้มอบโซลูชัน PCIe 4.0 NVMe ที่เหมาะสำหรับทุกคน ตั้งแต่ผู้อัปเกรดมือใหม่ไปจนถึงผู้ใช้งานระดับสูงที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบของตนเอง นอกจากนี้ในปี 2566 Kingston ยังได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมด้วยการเปิดตัวไดรฟ์ SSD แบบพกพารุ่น XS1000 และ DC600M ซึ่งเป็น SSD ระดับองค์กร

Kingston มอบการสนับสนุนที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ทั้งในแง่ของบริการและความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ โดยวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญที่ออกแบบผลิตภัณฑ์นับเป็นแรงสนับสนุนหลักที่นำไปสู่จุดยืนอันแข็งแกร่งของ Kingston ในการจัดลำดับเหล่านี้

นายดอน เจเน็ตต์ รองประธานของ TRENDFOCUS กล่าวว่า “ในช่วงสิ้นปี ยอดขาย SSD สำหรับพีซียังคงแข็งแกร่ง ซึ่งตลาดกลุ่ม PCLe NVMe มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเราจะได้เห็นการเติบโตมากขึ้นอีกในปี 2567”

Kingston กล่าวว่า “การทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับซัพพลายเออร์ ลูกค้า และพาร์ทเนอร์ของเรา ทำให้เราสามารถปรับตัวเมื่อสภาวะตลาดและความต้องการของลูกค้าเกิดความเปลี่ยนแปลง โดยเรามุ่งมั่นที่จะนำเสนอโซลูชันใหม่ล่าสุดของ SATA และ NVMe ควบคู่ไปกับกลุ่มผลิตภัณฑ์ SSD เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า และการได้รับการจัดอันดับนี้ถือเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของเราในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าว

สามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ kingston.com

สามารถติดตาม Kingston ได้ที่:

Facebook: https://www.facebook.com/kingstonthailand/

YouTube: https://www.youtube.com/user/KingstonTechnologyTH

มาถึงไทยแล้ว! สีใหม่จาก Dyson ที่ทุกคนรอคอย สี ‘เซรามิกป๊อป’ สุดน่ารัก พร้อมให้เป็นเจ้าของแล้ว 13 มกราคมนี้

  • สีใหม่สุดพิเศษนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากสีของเครื่องดูดฝุ่น Dyson G-Force ที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศแรกที่เปิดตัวเทคโนโลยี Dyson
  • พาเลทสีได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์ของ Dyson พัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งทั้งในด้านเทคโนโลยีและความสุนทรีย์
  • สีพิเศษนี้ใช้กับเครื่องเป่าผม Dyson Supersonic™ และ อุปกรณ์เป่าผมและจัดแต่งทรง Dyson Airwrap™
  • ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมในสีเซรามิกป๊อปวางจำหน่ายที่ Dyson Demo Stores ทุกสาขาและช่องทางออนไลน์ Dyson.co.th ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2567

กรุงเทพฯ 12 มกราคม 2567 – Dyson เปิดตัวสีใหม่ล่าสุด “เซรามิกป๊อป” (Ceramic Pop) ในผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ถือเป็นสีที่หลายคนตั้งตารอ เพราะก่อนหน้านี้มีวางจำหน่ายแค่ในประเทศญี่ปุ่นเพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 25 ปี ของ Dyson ในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น สีเซรามิกป๊อปเป็นการผสมผสานของ 3 สีสุดสดใสอย่าง สีชมพูบลัชพิงก์ (Blush Pink) สีเซรามิกโทแพซ (Ceramic Topaz) และสีเซมิกพาติน่า (Ceramic Patina) โดยในประเทศไทยจะมาใน 2 ผลิตภัณฑ์ได้แก่ เครื่องเป่าผม Dyson Supersonic™ และ อุปกรณ์เป่าผมและจัดแต่งทรง Dyson Airwrap™

การผสมผสานสีสันอันโดดเด่นในรูปแบบที่สนุกสนานนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากโทนสีของเครื่องดูดฝุ่น Dyson รุ่น G-Force ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องแรกของ Dyson และวางจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่นในช่วงปี ค.ศ. 1980 แนวทางการพัฒนาสีที่ออกแบบโดย Dyson ทำให้ผลิตภัณ์ของ Dyson โดดเด่นจากผลิตภัณฑ์อื่นในตลาด ซึ่งยังคงเป็นอย่างนั้นจนถึงปัจจุบัน

เอมมา เชลดอน รองประธานฝ่ายการวิจัย ออกแบบและพัฒนา กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมจาก Dyson กล่าวว่า “เทคโนโลยีของ Dyson ถือเป็นสิ่งที่บุกเบิกวงการ และคู่สีนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากตัวอย่างแรกๆ ในการใช้สีอย่างสร้างสรรค์ของเรา พวกเราออกแบบสี วัสดุ และการเคลือบเพื่อส่งเสริมเทคโนโลยีและยกระดับประสบการณ์การใช้งานผลิตภัณฑ์ของเรา”

ผิวสัมผัสที่ชวนสัมผัส

ผลิตภัณฑ์ของ Dyson ไม่เพียงแค่มีประสิทธิภาพยอดเยี่ยม แต่ยังมอบความรู้สึกที่เยี่ยมยอดขณะใช้งาน ทั้งวัสดุและผิวสัมผัสของตัวเครื่องผ่านการทดสอบอย่างละเอียดแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบการขัดสีและการทดสอบความทนทานต่อรอยขีดข่วนเพื่อมั่นใจในคุณภาพผิวสัมผัสของผลิตภัณฑ์ว่ามีความทนทานมากพอสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เพื่อมอบความพึงพอใจสูงสุดให้กับผู้ใช้งาน

ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมในรุ่นนี้มาพร้อมผิวสัมผัสแบบ ‘เซรามิก’ ที่มาจากการทาสีซาตินชั้นบางอย่างพิถีพิถัน ให้สัมผัสราวกับแตะแล้วแห้งสนิท (Dry to the touch)  ผลลัพธ์ที่เป็นเลิศนี้มาจากการทดสอบและทดลองมากมายหลายรอบ เพื่อคงผิวสัมผัสที่นุ่มลื่นราวกับแพรไหมของวัสดุเซรามิก

เส้นทางกว่า 25 ปีในประเทศญี่ปุ่น

Dyson มีความสัมพันธ์อันยาวนานและพิเศษกับประเทศญี่ปุ่นผ่านความเป็น “ผู้บุกเบิก” ในหลายด้าน  ย้อนกลับไปในยุค 1980 เจมส์ ไดสัน เปิดตัวเทคโนโลยีไซโคลนครั้งแรกที่ญี่ปุ่นภายใต้ชื่อ ‘G-Force’ และสามารถคว้ารางวัล International Design Fair ณ ประเทศญี่ปุ่น ในปีค.ศ. 1991 ต่อมาในปีค.ศ. 2015 แฟลกชิปสโตร์ Dyson Demo แห่งแรกเปิดตัวในประเทศญี่ปุ่น และผลิตภัณฑ์ไดร์เป่าผม Dyson Supersonic™ ก็เปิดตัวครั้งแรกที่ญี่ปุ่นเช่นกันในปีค.ศ. 2016 นับตั้งแต่วันที่เปิดสำนักงานโตเกียวของ Dyson ในปีค.ศ. 1998 Dyson ในญี่ปุ่นก็ก้าวเข้าสู่ปีที่ 25 และเพื่อเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษนี้ Dyson จึงเปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่น Colourway สีสันใหม่สำหรับผลิตภัณฑ์ในหมวดดูแลเส้นผมของเรา

ผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม Dyson Ceramic Pop วางจำหน่ายที่ Dyson Demo Stores ทุกสาขาและช่องทางออนไลน์ทาง Dyson.co.th ตั้งแต่วันที่ 13 มกราคม 2567 นี้

เครื่องเป่าผม Dyson Supersonic™

A pink and blue hair dryer next to a blue box

Description automatically generatedเครื่องเป่าผม Dyson Supersonic™ ถูกออกแบบมาเพื่อเส้นผมทุกรูปแบบ อีกทั้งยังมีความทรงพลังและรวดเร็ว เครื่องเป่าผมนี้สามารถสร้างกระแสลมความเร็วสูงที่ควบคุมทิศทางได้ ออกแบบให้ถือง่ายและจับได้อย่างสมดุล เงียบกว่าเครื่องเป่าผมทั่วไป และสามารถควบคุมอุณหภูมิได้อย่างชาญฉลาดเพื่อช่วยปกป้องเส้นผมจากความร้อน เครื่องเป่าผม Dyson Supersonic™ แตกต่างจากเครื่องเป่าผมแบบดั้งเดิม ด้วยความสามารถในการวัดอุณหภูมิของกระแสลมถึง 40 ครั้งต่อวินาทีเพื่อควบคุมอุณหภูมิลมที่ปล่อยออกมา เครื่องเป่าผม Dyson Supersonic™ ใช้เทคโนโลยีควบคุมอุณหภูมิอัจฉริยะของ Dyson เพื่อปกป้องเส้นผมจากความร้อนและคงความเงางาม

เครื่องเป่าผม Dyson Supersonic™ ในสี ‘เซรามิกป๊อป’ วางจำหน่ายในราคา 17,900 บาท ที่ Dyson Demo Stores ทุกสาขาและช่องทางออนไลน์ทาง Dyson.co.th

อุปกรณ์จัดแต่งทรง Dyson Airwrap™

A hair curler and a container

Description automatically generatedอุปกรณ์จัดแต่งทรง Dyson Airwrap™ multi-styler ถูกออกแบบใหม่เพื่อให้สามารถจัดแต่งทรงผมได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายมากยิ่งขึ้น มาพร้อมกับเทคโนโลยีควบคุมความร้อนอัจฉริยะ ที่ทำให้คุณสามารถจัดแต่งทรงผมได้ตามต้องการ ด้วยอุณภูมิที่ต่ำ และป้องกันการเสียหายของผมที่ได้รับจากการใช้ความร้อนมากจนเกินไป

จุดเด่นของ Dyson Airwrap™ multi-styler คือ Dyson Digital Motor ที่ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างเอฟเฟ็กต์ Coanda และพลังงานจากตัวมอเตอร์จะช่วยทำให้เกิดกระแสลมแรงที่พื้นผิวที่หัวต่อของ Dyson Airwrap™ เนื่องจากความแตกต่างของแรงดันลมที่ไหลยึดติดกับพื้นผิวของหัวต่อทำให้เกิดเอฟเฟ็กต์ Coanda  ซึ่งนักอากาศพลศาสตร์ของ Dyson เห็นข้อดีของเอฟเฟ็กต์นี้ จึงได้สร้างวิธีการจัดแต่งทรงผมด้วยการใช้ลมและความร้อน ทำให้ผลรับที่ได้ ไม่ว่าจะเลือกม้วนผมให้เป็นลอน คลื่น ไม่ว่าจะผมเรียบหรือแห้งหยาบ ก็สามารถสร้างลุคที่ธรรมชาติได้พร้อมผมที่ดูเงางาม อุปกรณ์จัดแต่งทรง Dyson Airwrap™ multi-styler มีหัวต่อหลากหลายสามารถเลือกใช้ได้ตามสภาพเส้นผม ความยาว และสไตล์ที่ต้องการ

อุปกรณ์จัดแต่งทรง Dyson Airwrap™ multi-styler ในสี ‘เซรามิกป๊อป’ วางจำหน่ายในราคา 21,900 บาท ที่ Dyson Demo Stores ทุกสาขาและช่องทางออนไลน์ทาง Dyson.co.th

###

เกี่ยวกับ Dyson

Dyson คือบริษัทด้านการวิจัยและเทคโนโลยีระดับโลก ด้วยงานด้านวิศวกรรม วิจัย พัฒนา ผลิต และทดสอบการปฏิบัติการในสิงคโปร์ สหราชอาณาจักร มาเลเซีย เม็กซิโก จีน โปแลนด์ และฟิลิปปินส์ เริ่มต้นจากโรงรถในสหราชอาณาจักร Dyson เติบโตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อตั้งในปีพ.ศ. 2536 ปัจจุบัน Dyson สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่สิงคโปร์ Dyson ที่โรงไฟฟ้า St. Jame ที่ปรับปรุงใหม่ไปเมื่อเร็วๆ นี้ และมีสำนักงานเทคโนโลยี 2 แห่งในสหราชอาณาจักรภายใต้พื้นที่กว่า 800 เอเคอร์ในมาล์มสบิวรี และฮัลลาวิงตัน และศูนย์กลางการวิจัยและวิศวกรรมอีกกว่า 10 แห่งทั่วโลก ในอนาคต Dyson ยังคงเป็นบริษัทของครอบครัวที่มีพนักงานกว่า 14,000 คนทั่วโลก รวมถึงวิศวกรกว่า 6,000 คน วางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ Dyson Demo Store และบนช่องทางออนไลน์ใน 85 ประเทศทั่วโลก

Dyson กำลังลงทุนเป็นมูลค่า 2.75 พันล้านปอนด์เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงโลก Dyson มีทีมวิศวกร นักวิทยาศาสตร์ และนักพัฒนาซอฟต์แวร์ทั่วโลกที่ร่วมพัฒนาแบตเตอรี่แบบโซลิดสเตท ดิจิทัลมอเตอร์ความเร็วสูง ระบบเซนเซอร์และวิชั่น หุ่นยนต์ เทคโนโลยีการเรียนรู้ของเครื่อง และปัญญาประดิษฐ์ ตั้งแต่ประดิษฐ์เครื่องดูดฝุ่นแบบไร้ถุงเครื่องแรกในปี พ.ศ. 2536 Dyson ได้สร้างเทคโนโลยีที่สามารถแก้ปัญหาในหลากหลายแขนง ตั้งแต่การดูแลเส้นผม การกรองอากาศ หุ่นยนต์ โคมไฟ เครื่องเป่ามือ และปัจจุบันในด้านเสียง ได้แก่ Dyson Zone ซึ่งเป็นหูฟังที่สามารถตัดเสียงรบกวนและกรองอากาศได้ พร้อมวางจำหน่ายภายในปีนี้

สถาบันเทคโนโลยีและวิศวกรรมของ Dyson (Dyson Institute of Engineering and Technology) คือรูปแบบใหม่ของการศึกษาวิศวกรรม ผสมผสานความเข้มแข็งด้านวิชาการแบบมหาวิทยาลัย กับประสบการณ์จริงจากการทำงานกับโครงการผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก วิศวกรระดับปริญญาตรี 156 คนของ Dyson ได้รับเงินเดือนตั้งแต่วันแรก และไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน นอกจากนี้กว่า 37% เป็นผู้หญิง ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของวิศวกรระดับปริญญาตรีในประเทศอังกฤษที่ 21% สถาบันนี้ไม่เพียงมอบการศึกษาเท่านั้น แต่ยังเป็นก้าวแรกสู่อาชีพกับ Dyson ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

มูลนิธิ เจมส์ ไดสัน (James Dyson Foundation)ก่อตั้งขึ้นในปี 2002 เป็นองค์กรการกุศลระดับโลก มุ่งสนับสนุนวิศวกรรุ่นใหม่ ส่งเสริมการศึกษาด้านวิศวกรรม และลงทุนวิจัยการแพทย์ จนถึงปัจจุบันบริจาคเงินไปแล้วกว่า 140 ล้านปอนด์ รางวัลเจมส์ ไดสัน (James Dyson Award) เป็นการประกวดออกแบบประจำปี เปิดรับผลงานจากนักศึกษาและบัณฑิตจบใหม่สายออกแบบและวิศวกรรม ตั้งแต่จุดเริ่มต้นในปี 2005 รางวัลนี้สนับสนุนสิ่งประดิษฐ์กว่า 300 ชิ้นทั่วโลก โดยจัดสรรเงินทุนเพื่อสนับสนุนการนำไปใช้จริงเชิงการค้า ผู้ชนะรางวัลระดับโลก 70% ยังคงพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ของตนเองต่อเนื่อง

ครอบครัวไดสัน ก่อตั้ง Dyson Farming ในปี 2012 และมีความเป็นกลางทางคาร์บอนตั้งแต่ปี 2019 ฟาร์มแห่งนี้เป็นธุรกิจการเกษตรขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสหราชอาณาจักร ครอบคลุมพื้นที่ 36,000 ไร่ ในเมือง  Lincolnshire, Oxfordshire, Gloucestershire และ Somerset ธุรกิจครอบครัวนี้ตั้งใจลงทุนระยะยาวเพื่อการเกษตรและชนบทของอังกฤษ เน้นการผลิตอาหารอย่างยั่งยืน ความมั่นคงทางอาหาร และสิ่งแวดล้อม เกษตรกรรมมีโอกาสอย่างแท้จริงที่จะขับเคลื่อนการปฏิวัติเทคโนโลยีและในทางกลับกัน Dyson Farming พัฒนาเทคโนโลยีการเกษตรและการผลิตอาหารที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ

Dyson Farming ปลูกพืชหลากหลายชนิด เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ มันฝรั่ง หัวหอม ถั่ว และยังเป็นผู้ผลิตถั่วลันเตาที่ใหญ่ที่สุดในสหราชอาณาจักร บริษัทผลิตเนื้อวัว เนื้อแกะ และปลูกสตรอว์เบอร์รี่นอกฤดูในโรงกระจกไฮเทค 15 ไร่ ที่ใช้ความร้อนจากเครื่องย่อยก๊าซชีวภาพ

ผลิตภัณฑ์หลัก

  • Dyson V12s Detect Slim Submarine™ cordless vacuum: เครื่องดูดฝุ่น Dyson รุ่นแรกที่สามารถดูดและถูได้ในเครื่องเดียว มาพร้อมหัวลูกกลิ้งเปียกที่สามารถทำความสะอาดพื้นแข็งด้วยน้ำสะอาดได้ตั้งแต่ต้นจนจบ.
  • Dyson Purifier Big+Quiet Formaldehyde: เครื่องฟอกอากาศที่เงียบแต่ทรงพลังที่สุดของ Dyson มาพร้อมกับตัวกรองที่ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น กระจายอากาศได้มากกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 2 เท่า และสามารถดักจับอนุภาคขนาดเล็กพิเศษ ได้ 99.95% กำจัดไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ได้มากกว่าตัวกรองคาร์บอนรุ่นก่อนหน้าถึง 3 เท่า รวมถึงสามารถทำลายฟอร์มาลดีไฮด์ได้อย่างถาวร โดยตัวกรอง HEPA มีอายุการใช้งานถึง 5 ปี
  • Dyson Supersonic™ hair dryer: เครื่องเป่าผมที่ช่วยให้ผมแห้งเร็วด้วยแรงลมจาก Dyson digital motor มอเตอร์ขนาดเล็กแต่ทรงพลัง หมุนด้วยความเร็วสูงสุด 110,000 รอบต่อนาที ซึ่งเร็วกว่ามอเตอร์เครื่องเป่าผมอื่นๆ ถึง 6 เท่า ควบคู่กับเทคโนโลยีควบคุมความร้อนอัจฉริยะที่สามารถวัดอุณหภูมิของกระแสลมถึง 40 ครั้งต่อวินาทีและควบคุมความร้อนเพื่อปกป้องเส้นผมจากความร้อนและคงความเงางาม โดย Dyson Supersonic มาพร้อมหัวต่อสำหรับผมประเภทต่างๆ รวมถึงหัวต่อ Flyaway
  • Dyson Airwrap™ multi-styler: อุปกรณ์จัดแต่งทรงผมที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดของ Dyson ได้รับการออกแบบใหม่เพื่อให้จัดแต่งทรงผมได้เร็วและง่ายขึ้น มาพร้อมกับ 13 หัวต่อ ทำให้สามารถจัดแต่งทรงผมได้หลากหลายสไตล์ ทั้งม้วนลอน จัดทรง รวมถึงทำให้ผมเรียบลื่นและซ่อนผมชี้ฟู โดยไม่ทำให้ผมเสียจากความร้อน
  • Dyson Corrale™ straightener:  เครื่องหนีบผมชิ้นเดียวเท่านั้นที่ใช้เทคโนโลยีแผ่นทองแดงแบบโค้งงอ ที่ทำให้ผมไม่กระจายตัวออก และยังสามารถควบคุมการจัดแต่งทรงผมได้โดยใช้ความร้อนที่ไม่สูงเกินไป และไม่ทำร้ายเส้นผม อีกทั้งยังรวบรวมเซ็นเซอร์อัจฉริยะ ที่สามารถวัดและปรับแต่งอุณหภูมิบนแผ่นให้ความร้อนได้ถึง 100 ครั้งต่อวินาที
  • Dyson Solarcycle™ Morph: โคมไฟที่เปลี่ยนแปลงตามแสงธรรมชาติและปรับเปลี่ยนได้อย่างชาญฉลาดตามการใช้งาน ซึ่งจะให้แสงที่ถูกต้อง ถูกเวลา และแม่นยำตามสถานที่ที่ต้องการใช้งาน โดยสามารถติดตามแสงธรรมชาติตามเวลาท้องถิ่นได้ และมอบแสงทั่วทั้งห้องได้ถึง 4 แบบ ทั้งแบบ แสงสว่างทางอ้อม (indirect) แสงสำหรับใช้งานโดยเฉพาะ (task) แสงสว่างแบบส่องเน้น (feature) และ แสงบรรยากาศล้อมรอบ (ambient)

ข่าวประชาสัมพันธ์ กสทช. ร่วมกับภาครัฐ เปิดตัว “กะทิ” สายรัดข้อมืออัจริยะสำหรับวัยเก๋า ภายใต้โครงการวิจัยแนวทางเพิ่มศักยภาพการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคม และการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ” มุ่งยกระดับสวัสดิการผู้สูงอายุ พร้อมผลักดันสู่นโยบายระดับประเทศ

สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ประกาศเปิดตัว “โครงการวิจัยแนวทางเพิ่มศักยภาพการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคมและการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ” พร้อมวางแผนเพื่อหาแนวทางการทำความร่วมมือ Thailand Smart Living Lab ต่อไป เพื่อส่งเสริมให้เกิดสวัสดิการผู้สูงอายุ ยุค 5G Digital Health Innovation และเตรียมตัวก้าวสู่ Thailand Personal Health AI”

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รักษาการเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่าปัจจุบันสังคมไทยเข้าสู่ภาวะสังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ โดยสถิติผู้สูงอายุมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดช่องว่างและข้อจำกัดบางประการของการปรับตัวระหว่าง “ผู้สูงอายุ” กับ “เทคโนโลยียุคใหม่” ที่ทำให้ไม่มีความรู้ความสามารถในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลได้ ส่งผลให้การพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในด้านต่าง ๆ ยังไม่ได้รับการเชื่อมต่อข้อมูลและใช้งานจากเทคโนโลยีดิจิทัลเท่าที่ควร ดังนั้น การเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงสวัสดิการของรัฐผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ จึงนับว่าเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัล ตลอดจนส่งเสริมการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีดิจิทัลในการยกระดับคุณภาพชีวิต และลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม

        “ทาง กสทช. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าว จึงได้ส่งเสริมและสนับสนุนเงินจากกองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม เพื่อประโยชน์สาธารณะ (กทปส.) เพื่อดำเนินโครงการวิจัยแนวทางเพิ่มศักยภาพการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคม และการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยผลลัพธ์ของโครงการจะได้เป็นแนวทางการเพิ่มศักยภาพการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคมเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ และได้แบบสถานการณ์จำลองหรือระบบนำร่องของบริการสวัสดิการทางสังคมบนพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสมกับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งกองทุน กทปส. มีความคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าระบบนำร่อง หรือ Prototype ที่เกิดขึ้นจากการสนับสนุนโครงการดังกล่าว จะถูกนำไปใช้ประโยชน์และขยายผลการใช้งานไปทั่วประเทศ

        ด้าน รศ.ดร. รินา ภัทรมานนท์ หัวหน้าโครงการวิจัยฯ กล่าวถึง โครงการวิจัยแนวทางเพิ่มศักยภาพการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคม และการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ ที่ดำเนินการโดยคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เกิดขึ้นภายใต้วัตถุประสงค์ที่ต้องการพัฒนาการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคมและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ จึงได้มีการศึกษาถึงปัญหาและอุปสรรคการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคมในกลุ่มผู้สูงอายุ ภาระหน้าที่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการสวัสดิการทางสังคมกับผู้สูงอายุ รวมถึงวิเคราะห์สวัสดิการทางสังคมที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อจัดทำแนวทางการเพิ่มศักยภาพการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคมด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ โดยการพัฒนาสถานการณ์จำลองหรือระบบนำร่องของบริการสวัสดิการทางสังคมบนพื้นฐานเทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสมกับสังคมผู้สูงอายุ

          ด้านอาจารย์ จตุรภรณ์ โชคภูเขียว จากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโครงการวิจัยฯ กล่าวว่า “จากการศึกษาที่ผ่านมาของโครงการนี้ ทำให้ได้ข้อเสนอแนวทางเพิ่มศักยภาพการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคมและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ รวมถึงการสร้างระบบนำร่องสารสนเทศอุปกรณ์ Medical IoT ที่พัฒนาขึ้นจากสถานการณ์จำลองของบริการดิจิทัลบนพื้นฐานเทคโนโลยี Internet of Things หรือ 5G  โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานไม่น้อยกว่า 5 หน่วยงาน และผู้สูงอายุได้ทดลองใช้ระบบนำร่องดังกล่าวถึง 2,000 ราย  อีกทั้งโครงการต้นแบบสามารถนำไปบรรจุเป็นแผนปฏิบัติราชการของจังหวัดพื้นที่เป้าหมายได้ ได้แก่ จังหวัดลำปาง จังหวัดขอนแก่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดสงขลา และผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจในโครงการไม่น้อยกว่า 80%”

ปัจจุบัน โครงการที่ กทปส. สนับสนุนได้ดำเนินการมานั้น สามารถสร้าง Prototype เพื่อนำร่องไปใช้ประโยชน์ได้ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กทปส. กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.), หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.), สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช),  ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ผู้ว่าราชการจังหวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) และเทศบาล โดยหน่วยงานต่างๆ ได้ร่วมกันหารือเรื่อง“การวางแผนการดำเนินงานร่วมกันแบบบูรณาการ เพื่อส่งเสริมให้เกิดสวัสดิการผู้สูงอายุ ยุค 5G Digital Health Innovation เพื่อเตรียมตัวก้าวสู่ Thailand Personal Health AI” เพื่อช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้โครงการเดินหน้าในระยะถัดไป

          เริ่มที่ ศ.ดร.สมปอง คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนากำลังคน และทุนด้านการพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา การวิจัยและการสร้างนวัตกรรม (บพค.) กล่าวว่า “เป้าหมายสูงสุดของ บพค. ก็คือการที่เห็นคนไทยมีสุขภาพที่ดีเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยด้วยเป้าหมายที่ทางร่างกายและจิตใจสุขภาพแข็งแรงเป็นผู้สูงวัยที่เปลี่ยนแปลงอนาคตของประเทศได้ และภายในสามปีนี้เราจะได้เห็นประโยชน์ที่เกี่ยวกับ สุขภาพของคนไทยหรือคอมมูนิตี้ ที่เป็น Personal AI อย่างแน่นอน”

         ในขณะที่ พญ.ลลิตยา กองคำ รองเลขาธิการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ก็มีความยินดีที่จะสนับสนุนโครงการวิจัยเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคมและการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลสำหรับผู้สูงอายุ โดยเชื่อว่าจะสามารถเป็นส่วนที่เข้ามาช่วยเสริมระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในการดูแลผู้สูงอายุอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ด้าน นายประสิทธิ์ ทองแท่งไทย รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดขอนแก่น มองว่าการที่จะให้ผู้สูงอายุในพื้นที่ได้รับข้อมูลข่าวสาร ต้องมีหน่วยบริการที่ใกล้พี่น้องประชาชนที่สุดโดยเฉพาะ รพสต. ที่ต้องให้ความรู้แก่ผู้สูงอายุเกี่ยวกับอุปกรณ์IoTต่าง ๆ เพราะโรคหลายหลายโรคจะต้องมีการเก็บข้อมูลและใช้ความเร่งด่วนในการรักษาอย่างทันท่วงที

          นอกจากนี้ นพ.สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักปลัดกระทรวงสาธารณสุข ได้กล่าวถึงการให้ความสำคัญในเรื่องการทำข้อมูลให้เป็นข้อมูลรายบุคคลด้วยการใช้ระบบดิจิทัล เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถทราบสิทธิ์ของตัวเองในการเข้าถึงสวัสดิการที่มีอยู่แล้วของแต่ละบุคคลรวมถึงมีการจัดเก็บข้อมูลสุขภาพ เพื่อให้การเข้าถึงทางการแพทย์มีความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่ง ดร.มนต์ศักดิ์  โซ่เจริญธรรม ที่ปรึกษาอาวุโสและผู้เชี่ยวชาญฐานข้อมูลดิจิทัลภาครัฐ ก็สนับสนุนแนวคิดเรื่องการเก็บข้อมูล Data ส่วนบุคคลของทุกคน และให้มีมาตรการมารองรับและดูแลข้อมูลส่วนบุคคล อีกทั้ง นางพรนิภา มาสิลีรังสี รองอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ เห็นด้วยว่าการนำนวัตกรรม Personal AIเข้ามาช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุนั้น สอดคล้องกับภารกิจของกรมกิจการผู้สูงอายุ คือการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุในทุกระดับ ในทุกมิติ

สำหรับPrototype ที่ประสบความสำเร็จจากโครงการโครงการวิจัยแนวทางเพิ่มศักยภาพการเข้าถึงสวัสดิการทางสังคม และการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ ก็คือ Box set ที่ประกอบไปด้วย สายรัดข้อมืออัจฉ ริยะ “กะทิ” ที่เป็น Health Monitoring ที่ช่วยสามารถติดตามข้อมูลสุขภาพของผู้สูงอายุ โดยสามารถวัดความเข้มข้นของออกซิเจน อัตราการเต้นของหัวใจ สเต็ปก้าวเดิน ซึ่งในอนาคตจะสามารถต่อยอดในเรื่องของ Calling feature และ SOS feature จะส่งพร้อมตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันหากเกิดอุบัติเหตุกับผู้สวมใส่ได้ด้วย นอกนี้รวมถึงยังมีเครื่องวัดความดันโลหิต เครื่องวัดความเค็มและเครื่องตรวจน้ำตาลในเลือด

สำหรับ ความร่วมมือ Thailand Smart Living Lab ในครั้งนี้นับว่าเป็นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการบูรณาการความร่วมมือของ กระทรวง ทบวง กรม และหน่วยงานภาครัฐระดับจังหวัด รวมถึงผู้บริหารส่วนท้องถิ่นที่ได้เข้ามาช่วยกันสนับสนุนผลักดันให้เกิดสวัสดิการผู้สูงอายุยุค 5G ผ่านการทำ Digital Health Innovation เพื่อให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีความมั่นคงในสุขภาพ และสามารถใช้ชีวิตสังคมในระยะยาวได้อย่างมีความสุข ตลอดจนทางภาครัฐยังได้มีข้อมูลสุขภาพของผู้สูงอายุทั้งประเทศไทย เพื่อเตรียมตัวก้าวสู่การทำ Thailand Personal Health AI กับกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) รวมทั้งหน่วยงานภาคีเครือข่าย ในลำดับต่อไป โดยมุ่งหวังให้คนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรงยิ่งขึ้น

“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าโครงการวิจัยครั้งนี้ จะเป็นก้าวสําคัญในการขับเคลื่อนการเข้าถึงสวัสดิการให้กับผู้สูงอายุในประเทศ และจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ช่วยลดภาระพึ่งพิงสวัสดิการจากภาครัฐ ในการดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย ค่ารักษาพยาบาลของผู้สูงอายุได้ในอนาคต ผมขอสนับสนุนให้ประสบความสำเร็จจนสามารถเกิดการผลักดันต่อให้เป็นนโยบายสวัสดิการทางสังคมและสุขภาพด้วยเทคโนโลยี 5G ต่อไปในอนาคต” นายไตรรัตน์ กล่าวเพิ่มเติม

พบกัน 6 ธันวานี้! iQOO 12 5G สมาร์ตโฟนตัวท็อปสำหรับสายเกมมิ่งขุมพลัง Snapdragon® 8 Gen 3

iQOO 12 5G สมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นใหม่ล่าสุดจาก iQOO ออกแบบมาเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดของสมาร์ตโฟน ไม่ว่าจะเป็นด้านความพรีเมียมของดีไซน์ ความรวดเร็ว หรือประสิทธิภาพในการประมวลผล ด้วยการผสานความทรงพลังของชิปเซ็ตเรือธงรุ่นล่าสุดจาก Qualcomm อย่าง Snapdragon® 8 Gen 3 เข้ากับ Supercomputing Chip Q1 ที่ iQOO ปรับแต่งขึ้นเองเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการแสดงผลโดยเฉพาะ ทำให้ iQOO 12 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่สามารถส่งมอบประสบการณ์การใช้งานและการเล่นเกมบนสมาร์ตโฟนที่เหนือกว่า เร็ว แรง ลื่นไหลไม่มีสะดุด ให้กับผู้ใช้งานได้ทุกสถานการณ์

iQOO 12 5G จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็ว ๆ นี้ พร้อมทัพความพิเศษและกิจกรรมที่ iQOO ขนมาจัดเต็มให้ iQOOer ชาวไทยได้รับชมและร่วมสนุกภายในงานเปิดตัวรูปแบบออนไลน์ นำโดยไอทีบล็อกเกอร์ อินฟลูเอนเซอร์สายเกมมิ่งชื่อดังและแขกรับเชิญพิเศษที่จะมาร่วมเผยความทรงพลังที่ซ่อนอยู่ใน iQOO 12 5G เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ชาว iQOOer ไทยมารอลุ้นกันว่าจะเป็นใครกันบ้างพร้อมทั้งเตรียมตัวสัมผัสประสบการณ์ความเร็ว แรง เหนือระดับพร้อมกันในวันที่ 6 ธันวาคม 2566 นี้ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ผ่าน Live Streaming บนช่องทางเฟซบุ๊ก iQOO Thailand เท่านั้น!

เกี่ยวกับ iQOO: 

iQOO แบรนด์สมาร์ตโฟนชั้นนำที่นำเสนออุปกรณ์พกพาอันล้ำสมัย ซึ่งออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ด้วยความมุ่งมั่นในการนำเสนอสมาร์ตโฟนประสิทธิภาพสูง มีสไตล์ ในราคาจับต้องได้ ทำให้ iQOO ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย iQOO ตั้งใจมอบประสบการณ์การใช้งานสมาร์ตโฟนที่ราบรื่นไร้รอยต่อให้ผู้ใช้งาน โดยมุ่งนำเสนอฟีเจอร์และเทคโนโลยีล่าสุด เพื่อช่วยยกระดับการใช้งานในชีวิตประจำวัน สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ iQOO และผลิตภัณฑ์ของบริษัท สามารถเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์อย่างเป็นทางการหรือติดตามทางโซเชียลมีเดียเฟซบุ๊ก iQOO Thailand และเว็บไซต์ https://www.iqoo.com/th 

ปฏิวัติวงการยานยนต์! CHANGAN สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่เขย่าตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดตัวแบรนด์ภายใต้แนวคิด ‘TOUCH THE FUTURE’

Changan Automobile ก้าวเข้าสู่วงการยานยนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างยิ่งใหญ่ จัดงานแถลงข่าว ‘Touch the Future’ – the 2023 Changan Southeast Asia press conference ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ กรุงเทพมหานคร โดยภายในงานยังมีการเผยโฉม Deepal L07 และ Deepal S07 รถยนต์ไฟฟ้าสองรุ่นแรกที่ CHANGAN เตรียมส่งเข้ามาเขย่าวงการยานยนต์ไฟฟ้าไทย งานแถลงข่าวในครั้งนี้นับเป็นก้าวสำคัญของ CHANGAN สำหรับเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ยานยนต์ไทย รวมถึงเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ CHANGAN ที่จะก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านยนตรกรรมอัจฉริยะและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในระดับสากล สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ ‘Build a World-Class Auto Brand’

Changan Automobile ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำที่มีประวัติยาวนานกว่าศตวรรษ ยืนหยัดในฐานะผู้เล่นสำคัญบนเวทียานยนต์ระดับโลกด้วยความโดดเด่นด้านความเปิดกว้าง ความครอบคลุม และความทุ่มเทเพื่อก้าวไปสู่โลกยุคโลกาภิวัฒน์ โดยมี 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ Mission of Shangri-La Dubhe Plan และ Vast Ocean Plan เป็นหัวใจสำคัญ โดยกลยุทธ์เหล่านี้เน้นย้ำถึงความทุ่มเทของ CHANGAN ในการคิดค้นนวัตกรรมและการขยายธุรกิจสู่ระดับสากล ดังที่เห็นได้จากตัวเลขการลงทุนของบริษัทเพื่อการพัฒนาเทคโนโลยี การเฟ้นหาบุคลากรทางเทคนิคที่มีคุณภาพ การพัฒนาความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอดจนการส่งเสริมเทคโนโลยีขั้นพื้นฐาน

CHANGAN ตระหนักถึงศักยภาพของตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทย และมุ่งมั่นที่จะสร้างประเทศไทยเป็นหมุดหมายแรกของแผน Vast Ocean Plan พร้อมเป้าหมายระยะยาวที่จะขยายอิทธิพลไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวาทั่วโลก วิสัยทัศน์ของ CHANGAN ครอบคลุมตั้งแต่การส่งมอบประสบการณ์ยานยนต์อัจฉริยะ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเต็มเปี่ยมไปด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย ตลอดจนการบริการอันยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้งานไปพร้อม ๆ กับการเดินหน้าสร้างสรรค์นิยามใหม่แก่ภูมิทัศน์ยานยนต์โลก

นาย จู ฮว๋าหรง ประธานบริษัท Changan Automobile กล่าวในงานแถลงข่าวว่า “CHANGAN ตระหนักถึงความรวดเร็วของประเทศไทยในการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของเราที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ยนตรกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเหตุนี้ CHANGAN จึงมีความตั้งใจที่จะนำเสนอเทคโนโลยีอันล้ำสมัยและบริการคุณภาพสูงของเราสู่ตลาดยานยนต์ไทย โดยดำเนินการเป็นก้าวแรกของแผน Vast Ocean Plan และคาดการณ์ว่าจะสามารถแผ่ขยายไปยังตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวาทั่วโลกในอนาคต นอกจากนี้ CHANGAN ยังมุ่งหวังที่จะเป็นสะพานในการเชื่อมต่อระหว่างประเทศจีนและประเทศไทย ผ่านการยกระดับเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อสร้างรากฐานนวัตกรรมสำหรับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน เราคาดหวังว่าจะสามารถสัมผัสโลกอนาคตและสร้างวันพรุ่งนี้ที่ดียิ่งขึ้นได้ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรจากประเทศไทยในครั้งนี้”

เพื่อสร้างความตื่นเต้นยิ่งขึ้นให้กับการบุกตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไทยในครั้งนี้ Changan Automobile ได้เผยโฉมยานยนต์ไฟฟ้า 100% สองรุ่นแรก Deepal L07 และ Deepal S07 ภายในงาน พร้อมนำเสนอการออกแบบและเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยให้ผู้ร่วมงานได้รับชมก่อนการเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการในงาน มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 ที่จะถึงนี้ โดยรถยนต์สองรุ่นแรกที่ CHANGAN จะนำเข้ามาเปิดตัวในประเทศไทยเป็นรถยนต์ที่สร้างขึ้นบนแพลตฟอร์มรถยนต์ไฟฟ้า EPA1 ที่ CHANGAN ออกแบบเพื่อแบรนด์ Deepal โดยเฉพาะ รับประกันประสิทธิภาพเหนือชั้นทั้งด้านความปลอดภัย ประสบการณ์การใช้งาน และระบบอัจฉริยะ เตรียมพร้อมส่งมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ยอดเยี่ยมและเหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน เพราะ CHANGAN เข้าใจทั้งความต้องการและปัญหา และมุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้งานได้อย่างแท้จริง

“ที่ CHANGAN Design ปรัชญาการออกแบบของเรามุ่งเน้นให้ความสำคัญกับผู้ใช้งานเป็นหลักและคำนึงถึงความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมอยู่เสมอ รวมทั้งให้ความสำคัญกับความเข้าใจของผู้ใช้งานและเชื่อมโยงเข้ากับความต้องการที่แท้จริง แล้วจึงยกระดับเทคโนโลยีและเครื่องมืออัจฉริยะเพื่อสร้างระบบนิเวศยานยนต์ที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น โดย Deepal มุ่งมั่นที่จะผสมผสานระหว่างความเป็นมนุษย์ ธรรมชาติ และเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว แสดงให้เห็นถึงปรัชญาด้านการออกแบบอันน่าหลงใหลที่ CHANGAN ใช้ชื่อว่า Symbiotic Aesthetics” นาย เคลาส์ ซิซิโอรา รองประธานบริหาร Changan Automobile กล่าว

Changan Automobile รวบรวมแรงบันดาลใจในการดีไซน์จากเทรนด์การออกแบบที่เป็นที่นิยม ตลอดจนเฟ้นหาบุคลากรที่มีความสามารถด้านการออกแบบกว่า 600 ชีวิตจากทั่วทุกมุมโลกเพื่อสร้างทีมออกแบบชั้นนำในระดับนานาชาติ พร้อมจัดตั้งศูนย์การออกแบบถึง 4 แห่ง ได้แก่ เมืองฉงชิ่ง ประเทศจีน ประเทศอิตาลี ประเทศญี่ปุ่น และ สหราชอาณาจักร

Deepal L07 ฟาสต์แบ็คไฟฟ้าคันแรกในกลุ่มผลิตภัณฑ์ของ CHANGAN ได้รับรางวัล Red Dot Award 2023 Product Design Award (ชื่อที่ได้รับรางวัล: SL03) โดดเด่นด้วยการออกแบบภายนอกและภายในที่พิถีพิถันจากการรังสรรค์ของทีมดีไซน์ระดับโลก พร้อมกันนี้ CHANGAN ยังนำเสนอ Deepal S07 รถยนต์ SUV ไฟฟ้า 5 ที่นั่งที่สะท้อนไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่ผ่านการผสมผสานเทคโนโลยีการขับขี่ที่ล้ำสมัยเข้ากับการออกแบบที่เรียบหรู

นอกจากการเปิดตัวรถยนต์จากแบรนด์ Deepal แล้ว ภายในงานยังมีนิทรรศการยานยนต์จากแบรนด์ NEV อัจฉริยะอีกสองแบรนด์ ได้แก่ AVATR – ‘เพื่อนร่วมทางอัจฉริยะที่เข้าใจผู้ขับขี่’ ขนทัพยานยนต์ระดับเรือธง ‘AVATR 11’ และ ‘AVATR 12’ มานำเสนอความสามารถด้านการขับขี่อัจฉริยะและการโต้ตอบกับผู้ใช้งานที่เหนือกว่ามาตรฐานอุตสาหกรรม และ NEVO แบรนด์คลาสสิกใหม่สำหรับตลาดรถยนต์แมสในอนาคต พัฒนาขึ้นตามความก้าวหน้าของโลกดิจิทัลและเทคโนโลยีอัจฉริยะโดยมีเป้าหมายเพื่อยกระดับชีวิตผู้ใช้งาน นำเสนอรถยนต์ถึงสามรุ่น ได้แก่ A05 A07 และ Q05

ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำวัฒนธรรมยานยนต์และส่งเสริมคุณภาพชีวิตมนุษย์ Changan Automobile ทุ่มเทให้กับการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยมีเป้าหมายที่จะส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงให้กับผู้บริโภคชาวไทย พร้อมทั้งสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจระดับท้องถิ่น

CHANGAN เตรียมพร้อมก้าวไปอีกขั้นสู่การเป็นผู้ขับเคลื่อนภูมิทัศน์ยานยนต์ไทย ด้วยการเปิดตัวและประกาศราคาอย่างเป็นทางการของรถยนต์ไฟฟ้า Deepal L07 และ Deepal S07 ผู้ที่สนใจสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลาสำคัญดังกล่าวของ CHANGAN ได้ที่งานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 40 ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน – 11 ธันวาคม 2566

Deepal L07 และ Deepal S07 เปิดให้ผู้ที่สนใจสามารถสั่งจองล่วงหน้าแล้ววันนี้พร้อมข้อเสนอพิเศษ สำหรับผู้จองสิทธิ์ตั้งแต่วันที่27 พ.ย. 2566 เวลา 15:15 น. ถึง 29 พ.ย. 2566 เวลา 11:59 น. รับส่วนลดดอกเบี้ยพิเศษสูงสุด 0.5%* พร้อมประกันภัยชั้น 1 ฟรี 2 ปี* ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.changan.co.th/th/

* เงื่อนไขเป็นไปตามที่ระบุไว้สำหรับการจองส่วงหน้าในวันที่ 27 พ.ย. 2566

** เงื่อนไขเป็นไปตานที่บริษัทกำหนด

#TouchtheFuture #CHANGAN #CHANGANTHAILAND #Evcar #DeepalS07 #DeepalL07

วางจำหน่ายแล้ว! vivo Y27s สมาร์ตโฟนน้องเล็กสเปกจัดเต็มในราคาจับต้องได้ เพียง 6,999 บาท

vivo แบรนด์สมาร์ตโฟนชั้นนำระดับโลก เสริมความปังสุดคุ้มอย่างต่อเนื่องท้ายปีด้วย vivo Y27s สมาร์ตโฟนน้องเล็กแต่สเปกจัดเต็มอีกหนึ่งรุ่นจากตระกูล Y Series เผยดีไซน์ทันสมัย เพรียวบาง พร้อมสีสันที่เปล่งประกายสะดุดตาได้แก่ สีเขียวการ์เดนกรีน (Garden Green) และสีดำเบอร์กันดี (Burgundy Black) ให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสความสนุกถึงขีดสุดด้วยฟีเจอร์การใช้งานที่อัดแน่นไม่แพ้สมาร์ตโฟนรุ่นพี่ ด้วยกล้องหลักคมชัด 50 ล้านพิกเซลพร้อมฟีเจอร์การถ่ายภาพให้เลือกใช้ได้หลากหลายไม่มีเบื่อ สนุกได้ทั้งวันกับแบตเตอรี่ Li-ion ขนาดใหญ่ 5000mAh  หมดกังวลกับการใช้งานสลับไปมาระหว่างหลายแอปด้วยเทคโนโลยี Extended RAM 3.0 ที่รองรับการขยาย RAM สูงสุด 8GB เสริมด้วยหน้าจอที่ให้ความสว่างสูงสุดถึง 650 nits แสดงผลได้ชัด สบายตา ไม่ว่าจะอยู่ที่ร่มหรือกลางแจ้ง ให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสประสบการณ์สุดคุ้มในราคาที่เข้าถึงง่ายเพียง 6,999 บาท

ผสมผสานดีไซน์ทันสมัยด้วยแรงบันดาลใจอย่างเหนือชั้น

vivo Y27s มาพร้อมการออกแบบตามสมัยนิยม ด้วยหน้าจอ Sunlight คมชัด FHD+ (2388×1080) ขนาด 6.64 นิ้ว ขอบจอโค้ง 2.5D และดีไซน์ตัวเครื่องเพรียวบาง 8.17 มม. น้ำหนักเพียง 192 กรัม อีกทั้งเลือกใช้วัสดุ 2.5D Plastic ทำให้ตัวเครื่องมีรูปลักษณ์ที่สวยงาม เข้ากับสรีระของมือในขณะที่จับถือใช้งาน เสริมด้วยสีสันแบบใหม่ที่สะดุดตา เปล่งประกายความสดใสอย่างมีระดับ พร้อมกรอบเฉดสีรุ้งที่ช่วยเพิ่มสีสันความสนุกให้กับเลนส์กล้องแบบใหม่ไม่ซ้ำใคร โดย vivo  Y27s นำเสนอใน 2 เฉดสี ได้แก่ สีเขียวการ์เดนกรีน (Garden Green) ให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นด้วยสีเขียวที่ดูสะอาดตา ผสมผสานกับสีเหลืองที่แวววาว รู้สึกสดชื่น สนุกสนาน และสีดำเบอร์กันดี (Burgundy Black) นำเสนอความเรียบหรูผ่านการผสานกันระหว่างสีดำและสีแดงสุดหรู ให้ความระยิบระยับจากพื้นผิวด้าน Glitter AG มอบความสวยงามอย่างมีรสนิยม

ใช้งานลื่นไหลได้ทั้งวันไม่มีสะดุด ด้วยแบตเตอรี่และหน่วยความจำที่ขยายให้แบบถึงใจ

สมาร์ตโฟน vivo Y27s มอบประสิทธิภาพอันทรงพลังด้วยชิปเซ็ท Qualcomm Snapdragon® 680 และพื้นที่จัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ 256GB และ RAM 8GB สามารถเพิ่มหน่วยความจำเสมือน (Virtual Memory) ได้อีก 8GB ผ่านเทคโนโลยี Extended RAM 3.0 ให้ได้สัมผัสประสบการณ์การใช้งานสมาร์ตโฟนได้อย่างเต็มรูปแบบโดย ไม่สูญเสียประสิทธิภาพการประมวลผล สลับไปมาระหว่างหลายแอปได้อย่างลื่นไหลมากกว่า 25 แอปพลิเคชัน ไม่เพียงเท่านั้น vivo Y27s ยังมาพร้อมแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ถึง 5000mAh ร่วมกับพลังแห่งการชาร์จไว 44W เพียงพอต่อการใช้งานที่ต่อเนื่องตลอดทั้งวัน ตอบโจทย์การใช้งานที่เป็นตัวเองในทุกไลฟ์สไตล์

เก็บทุกโมเมนต์ความประทับใจ จะช็อตไหนก็ไม่หวั่นด้วยกล้องหลักคมชัด 50 ล้านพิกเซล

นอกจากประสิทธิภาพและดีไซน์ที่ให้มาอย่างเต็มพิกัดแล้ว vivo ยังไม่ลืมที่จะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ใช้งานสายถ่ายภาพด้วยกล้องหลักคมชัด 50MP กล้องหน้าคมชัด 8MP และกล้องโบเก้ 2MP ให้ผู้ใช้งานได้บันทึกภาพถ่ายได้อย่างคมชัดพร้อมระบบโฟกัสสุดแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพเซลฟี่ ภาพถ่ายทั่วไป จนไปถึงการสร้างเอฟเฟกต์โบเก้ระดับภาพยนต์ อีกทั้งมอบความสนุกสนานด้วยเอฟเฟกต์การถ่ายภาพที่หลากหลาย ให้การถ่ายภาพมีความแปลกใหม่ สร้างความประทับใจได้มากกว่าที่เคย ไม่ว่าจะเป็นโหมด Portrait Light Effect, Portrait Bokeh โหมดถ่ายภาพกลางคืน (Super Night Mode) และอื่นๆอีกมากมาย ให้ผู้ใช้งานมั่นใจได้ในทุกโมเมนต์การบันทึกภาพ พร้อมปรับแต่งได้เองโดยไม่ต้องพึ่งแอปพลิเคชันอื่น

แฟนๆ vivo ชาวไทยเตรียมสัมผัสประสบการณ์สมาร์ตโฟนน้องเล็กที่มาพร้อมพลังความสนุกแบบจัดเต็ม ครอบคลุมทุกฟีเจอร์ กับ vivo Y27s ในราคาเพียง 6,999 บาท (ขนาดความจุ 8GB + 256GB) พร้อมวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในประเทศไทยตั้งแต่วันที่25 พฤศจิกายนเป็นต้นไป สามารถเป็นเจ้าของได้ที่ vivo Brand Shop ทุกสาขา ช่องทางออนไลน์ vivo Official Store และตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.vivo.com/th/products

#vivoY27s #ThatsY

Amazfit Active สมาร์ทวอทช์รุ่นล่าสุดจาก Amazfit ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สุดแอคทีฟของคนรุ่นใหม่

อเมซฟิต (Amazfitแบรนด์ชั้นนำระดับโลกด้านอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะโดยเซปป์ เฮลท์ (Zepp Health) (NYSE: ZEPP) บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ได้ประกาศเปิดตัว Amazfit Active สมาร์ทวอทช์รุ่นล่าสุดที่ตอบโจทย์กิจกรรมแอคทีฟหลากหลายของคนยุคปัจจุบัน โดย Amazfit Active ได้นำจุดเด่นของ Amazfit ซีรีย์ก่อน ๆ ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายอย่าง Amazfit GTS และ Amazfit GTS Mini มารวมกันในรุ่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและหน้าจอขนาดใหญ่จาก Amazfit GTS และดีไซน์ตัวเครื่องที่เพรียวบางน้ำหนักเบา ขนาดกะทัดรัดของ Amazfit GTS Mini รวมทั้งยังมีฟังก์ชันทันสมัยใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามาอีกมากมาย

ดีไซน์ที่ดูเรียบหรูแต่ยังคงความสปอร์ตทำให้ใช้งานง่ายในชีวิตประจำวัน และยังอัดแน่นด้วยฟังก์ชันเทคโนโลยีต่าง ๆ ทำให้เหมือนมีบัดดี้ส่วนตัวที่จะไปกับคุณในทุกที่ เริ่มที่เทคโนโลยี AI -Powered Zepp Coach ™ ที่จะช่วยให้คุณใช้ชีวิตท่ามกลางความวุ่นวายในแต่ละวันได้ง่ายขึ้น เพราะเทคโนโลยีนี้สามารถออกแบบรูปแบบการออกกำลังกายและวางแผนตารางเวลาให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล และยังมีฟังก์ชัน Readiness ที่สามารถให้คะแนนอัตราการเต้นของหัวใจขณะนอนหลับและยังวัดคุณภาพของการหายใจรวมถึงอุณหภูมิร่างกายของผู้ใช้ด้วย ซึ่งคะแนนนี้จะช่วยให้ผู้ใช้ทราบถึงการฟื้นตัวทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อนำมาปรับในการวางแผนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะส่งผลดีต่อสุขภาพอย่างสูงสุด มาพร้อมฟังก์ชันตรวจจับข้อมูลสุขภาพตลอด 24 ชั่วโมง และผู้ใช้ยังสามารถสร้างรูปแบบการออกกำลังที่ปรับให้เหมาะสมกับข้อมูลสุขภาพผ่านแอปพลิเคชัน Zepp อีกด้วย

Amazfit Active มาพร้อมหน้าจอ AMOLED ขนาดใหญ่ 1.75 นิ้ว แสดงผลได้อย่างชัดเจน และแบตเตอรี่ขนาดใหญ่ที่สามารถใช้งานได้ยาวนานสูงสุดถึงสองสัปดาห์ พร้อมรองรับการโทรออก-รับสายด้วยบลูทูธ มีระบบดาวเทียม GPS ที่แม่นยำ สามารถนำเข้าเส้นทางไปยังสมาร์ทวอทช์จากแอปพลิเคชัน Zepp นอกจากนี้ตัวเครื่องยังสามารถทนต่อการกระแทกและรอยขีดข่วนที่อาจเกิดขึ้นจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของรุ่นนี้ที่เน้นการตอบโจทย์ผู้ใช้ในปัจจุบัน ที่มีกิจกรรมหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในชีวิตประจำวันไปจนถึงกิจกรรมแอคทีฟที่ชื่นชอบ ให้คุณได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มไปกับ Amazfit Active นี้

สมาร์ทวอทซ์ Amazfit Active จะวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2566 เป็นต้นไป ในราคา 4,490 บาท โดยจัดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ดังนี้ ร้าน Amazfit Official Store บน Shopee และ Lazada มาพร้อมโปรโมชั่นพิเศษ สำหรับ 100 ออเดอร์แรกที่สั่งซื้อบนแพลตฟอร์ม Shopee รับฟรี Mi Portable Bluetooth Speaker มูลค่า 1,099.-

*เฉพาะ 1-4 ธ.ค. 66 บนแพลตฟอร์ม Shopee เท่านั้น

ข้อมูลเพิ่มเติม ท่านสามารถเยี่ยมชมได้ที่ https://www.amazfit.com/en/ และติดตามเราได้ที่ FacebookInstagramTwitter และ YouTube

###

เกี่ยวกับเซปป์ เฮลท์ และ อเมซฟิต

เซปป์ เฮลท์ (Zepp Health) (NYSE: ZEPP) ผู้นำด้านเทคโนโลยีด้านสุขภาพและอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะระดับโลก ส่งเสริมให้ผู้ใช้งานมีชีวิตที่มีสุขภาพดีที่สุดด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพด้านสุขภาพ การออกกำลังกาย และความเป็นอยู่ที่ดีอย่างเหมาะสม ผ่านแบรนด์ผู้บริโภคระดับชั้นนำอย่างAmazfit, Zepp Clarity และ Zepp Aura โดยขับเคลื่อนผ่านแพลตฟอร์มที่เป็นกรรมสิทธิ์อย่าง Zepp Health Digital Health Management Platform รวมถึงระบบปฎิบัติการ Zepp OS, ชิป AI, เซ็นเซอร์ไบโอเมตริก และอัลกอริทึมข้อมูล เซปป์ เฮลท์ นำเสนอข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำบนคลาวด์ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โดยเป็นข้อมูลที่นำไปใช้ได้จริงเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานบรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพ

นอกจากนี้ บริษัทยังนำความเชี่ยวชาญด้าน AI มาใช้กับเทคโนโลยีการถ่ายภาพทางการแพทย์ระดับอุตสาหกรรม และให้บริการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสุขภาพของทุกคน จนถึงปัจจุบัน เซปป์ เฮลท์ ส่งมอบผลิตภัณฑ์แล้วกว่า 200 ล้านชิ้น และวางจำหน่ายในกว่า 90 ประเทศ

อเมซฟิต (Amazfit) แบรนด์ชั้นนำระดับโลกด้านอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ โดยเซปป์ เฮลท์ (Zepp Health) (NYSE: ZEPP) บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ด้วยการนำเสนอสมาร์ทวอทซ์อัจฉริยะและสายนาฬิกาที่หลากหลาย สาระสำคัญของแบรนด์ อเมซฟิต คือ “Up Your Game” กระตุ้นให้ผู้ใช้ดำเนินชีวิตตามความปรารถนาของตนเองและแสดงจิตวิญญาณที่กระฉับกระเฉงอย่างอิสระ อเมซฟิต ขับเคลื่อนโดยแพลตฟอร์มการจัดการด้านสุขภาพที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Zepp Health ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำที่ดำเนินการได้บนคลาวด์ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บรรลุเป้าหมายด้านสุขภาพ ด้วยความเชี่ยวชาญอันโดดเด่น สมาร์ทวอทช์อัจฉริยะ อเมซฟิต ได้รับรางวัลด้านการออกแบบมากมาย รวมถึงรางวัลการออกแบบ iF และรางวัลการออกแบบ Red Dot อีกด้วย

อเมซฟิต เปิดตัวในปี 2556 ปัจจุบันมีผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทหลายล้านคน โดยมียอดจำหน่ายกว่า 90 ประเทศทั่วอเมริกา ภูมิภาค EMEA และ APAC

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเซปป์ เฮลท์ สามารถเยี่ยมชมได้ที่ www.zepp.com, อเมซฟิต: www.amazfit.com และเซปป์ ออร่า: http://aura.zepp.com/

Kingston เป็นผู้นำการจัดส่ง SSD ติดต่อกันเป็นปีที่ 6

·          ผลงานที่ยอดเยี่ยมด้าน SSD และการบริการลูกค้าที่ได้รับการยอมรับนำไปสู่ส่วนแบ่งการตลาด 28%

·          ครองตำแหน่งซัพพลายเออร์ประเภทบุคคลที่สามอันดับ 1 ในปี 2565 พร้อมสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปี 2566

Kingston Technology ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์หน่วยความจำและโซลูชันเทคโนโลยีระดับโลก ประกาศว่าได้รับการจัดอันดับจาก TrendForce ให้ครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งสำหรับการเป็นซัพพลายเออร์ SSD ประเภทบุคคลที่สามในช่องทางการจัดส่งประจำปี 2565 ซึ่งนับเป็น 6 ปีติดต่อกันที่สามารถคงตำแหน่งผู้นำไว้ได้ โดย Kingston มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 28% ของจำนวน SSD ที่จัดส่งทั้งหมด 114 ล้านหน่วยในปี 2565

ข้อมูลจากผลการวิเคราะห์ดังกล่าวระบุว่า อุปสงค์และอุปทานของตลาด SSD ทั่วโลกในปี 2565 มีการปรับเปลี่ยน เนื่องจากปัญหาการขาดแคลนวงจรรวม (IC) ที่เคยเป็นอุปสรรคในปี 2563 ได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้นแล้ว อย่างไรก็ตามการจัดส่ง SSD ของทั่วโลกยังคงลดลง โดยมีการจัดส่งเพียง 114 ล้านหน่วยในปี 2565 ซึ่งลดลง 10.7% จากปีก่อนหน้า แต่ Kingston สามารถคงความเป็นผู้นำในการจัดส่ง SSD ให้อยู่อันดับหนึ่งของปี 2565 ได้ โดยรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันและมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี 2021 นอกจากนี้แม้ว่าตลาดจะมีความท้าทาย แต่ซัพพลายเออร์ประเภทบุคคลที่สามจำนวน 5 อันดับแรก (ที่ไม่ใช่เซมิคอนดักเตอร์) ยังมีสัดส่วนเกือบ 60% ของการจัดส่งทั้งหมดในปี 2565 ทั้งนี้ผลการวิเคราะห์นี้ได้ตอกย้ำตำแหน่งความเป็นผู้นำของ Kingston ในด้านการผลิต SSD เนื่องจากซัพพลายเออร์อันดับสองมีสัดส่วนเพียง 9% ของส่วนแบ่งการตลาดในช่องทางการจัดส่งทั้งหมด

ในปี 2566 เศรษฐกิจโลกยังคงประสบปัญหา ส่งผลให้การจัดส่งโน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อปมีจำกัด โดยผู้ผลิตโมดูลต้องวางกลยุทธ์ในการจัดการสินค้าคงคลังที่มีต้นทุนสูงผ่านการใช้กลยุทธ์การตั้งราคาที่แข่งขันได้ เมื่อไตรมาสที่สามใกล้สิ้นสุดลง ความเชื่อมั่นของตลาดก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ด้วยสาเหตุหลักจากซัพพลายเออร์ NAND Flash ที่ลดการผลิตลงอย่างมาก ซึ่งสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนจากราคาของ SSD ที่ปรับตัว โดยท้ายที่สุดก็ช่วยให้ผู้ผลิตโมดูลมีสินค้าคงคลังราคาถูกลง

ความต้องการ SSD มาตรฐาน PCIe 4.0 NVMe  ยังคงเป็นตัวกำหนดภาพรวมของตลาด ส่งผลให้กลุ่มโมดูลต่างๆ เปลี่ยนจาก SATA เป็น PCle อย่างต่อเนื่อง โดย TrendForce คาดการณ์ว่าการอัปเกรดเป็น NVme จะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นและเพิ่มการจัดส่งให้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ในปี 2565 Kingston ได้ขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นในด้านความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูง ตลอดจนไดร์ฟประเภทภายนอกและแบบที่มีการเข้ารหัส ด้วยการเปิดตัวไดรฟ์ NV2 มาตรฐาน NVMe รุ่นใหม่ในปี 2565 ซึ่งกลายเป็นไดรฟ์ที่มียอดขายสูงสุดอย่างรวดเร็วในปีดังกล่าว ด้วยยอดขายมากกว่า 12 ล้านชิ้นทั่วโลกนับตั้งแต่เปิดตัว นอกจากนี้เพื่อสานต่อความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ที่ได้รับรางวัลอย่าง Kingston FURY Renegade SSD ทำให้ Kingston ได้อัปเกรดไดรฟ์ด้วยการเพิ่มตัวเลือกฮีทซิงค์ ช่วยตอบโจทย์ผู้ชื่นชอบการเล่นเกมคอนโซลและพีซี ซึ่งเป็นการตอกย้้ำถึงความมุ่งมั่นของ Kingston ในการพัฒนาโซลูชัน NVMe ที่มีคุณภาพสูง

นอกเหนือจากการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มการซื้อของลูกค้าแล้ว Kingston ยังให้การสนับสนุนลูกค้าด้วยบริการที่ยอดเยี่ยม ซึ่งสามารถเข้าถึงผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์และวิศวกรของเราได้ ส่งผลให้ประสบความสำเร็จในด้านความน่าเชื่อถือและการบริการลูกค้ามานานกว่าสามทศวรรษ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ Kingston สามารถครองตำแหน่งอันดับหนึ่งในตลาด SSD เป็นเวลา 6 ปีติดต่อกันได้ รวมทั้งแนวทางเดียวกันนี้ก็ได้ถูกดำเนินการสำหรับผลิตภัณฑ์ DRAM ส่งผลให้บริษัทกลายเป็นซัพพลายเออร์โมดูลหน่วยความจำประเภทบุคคลที่สามรายใหญ่ที่สุดติดต่อกันเป็นปีที่ 20

Kingston กล่าวว่า “นับเป็นเกียรติอย่างมากที่เราได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในอันดับสูงสุดอีกหนึ่งปี โดยความมุ่งมั่นในการให้บริการลูกค้าและพันธมิตรในช่องทางการจัดจำหน่ายทั่วโลกยังคงเหมือนเดิมตั้งแต่แรกเริ่ม ด้วยความสัมพันธ์อันแข็งแกร่งและยั่งยืนเหล่านี้ ธุรกิจ SSD ของเราจึงเติบโตได้อย่างน่าประทับใจ โดยผลสำรวจล่าสุดจาก TrendForce นับเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความทุ่มเทและความมุ่งมั่นของทีมงานทั้งหมดของเรา ซึ่งเรารู้สึกขอบคุณสำหรับการยอมรับและความสำเร็จของเราร่วมกับพวกเขาเหล่านี้”

สามารถตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ kingston.com

สามารถติดตาม Kingston ได้ที่:  

Facebook: https://www.facebook.com/kingstonthailand/ 

YouTube: https://www.youtube.com/user/KingstonTechnologyTH