DTAC EV Connectivity ขยายแพลตฟอร์มสู่บริการด้านยานยนต์ไฟฟ้า

เป็นข่าวที่สร้างความฮือฮาไม่น้อยรับปี 2019 กับเรื่องที่มีการแชร์กันว่า DTAC กำลังจะขายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าด้วย

เรื่องนี้ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจนถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจของ DTAC ในงาน  Thailand Mobile Expo 2019 ซึ่งสรุปได้ว่า DTAC จะขายมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าจริง แต่เป็นในลักษณะของการร่วมมือกันกับพาร์ทเนอร์หลายๆ ฝ่าย ไม่ได้หมายความว่า DTAC จะเปลี่ยนหรือเพิ่มไลน์ธุรกิจใหม่ การจำหน่ายหรือให้บริการมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของ DTAC ยังคงอยู่บนพื้นฐานของการเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มเกี่ยวกับ EV Connectivity ในฐานะของโอเปอเรเตอร์เช่นเดิม โดยจะให้บริการลักษณะต่างๆ เช่น การให้ผู้ใช้รถเชื่อมต่อกับบริษัทประกัน เชื่อมต่อบริษัทเช่าซื้อและสถาบันการเงิน หรือเชื่อมต่อบริการเปลี่ยนแบตเตอรี่ผ่านเครือข่ายไตรเน็ตของดีแทค

นอกจากนั้นประโยชน์ที่ผู้ใช้รถจะได้รับเพิ่มเติมก็คือเรื่องของการตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ออนไลน์ การค้นหาเส้นทาง การป้องกันการโจรกรรม เป็นต้น โดยระบบและฟีเจอร์ต่างๆ นั้นอยู่ในขั้นตอนของการพัฒนาที่คาดว่าจะได้เห็นกันในเร็วๆ นี้

สำหรับพาหนะหรือยานยนต์ไฟฟ้าที่ดีแทคจะนำเสนอ ในเบื้องต้นคาดว่าจะเป็นส่วนของมอเตอร์ไซค์ก่อนตามที่เป็นข่าว มีกำหนดการว่าจะเปิดตัวอีกครั้งในช่วงกลางปี 2019 โดยพาร์ทเนอร์รายสำคัญที่เข้ามาร่วมกับ DTAC ในครั้งนี้ก็คือ ฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส หรือ FSMART เจ้าของตู้บุญเติมที่คุ้นเคยกันนั่นเอง

เพิ่มเติมข้อมูลเรื่องมอเตอร์ไซค์สักเล็กน้อย ตามภาพที่เห็นแชร์ๆ กันนั้น จะเห็นว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ประเภทสกูตเตอร์แนวคูลๆ ยี่อ Edison Motors รุ่น Volta มีทั้งรุ่นที่ใช้แบตเตอรี่ 1.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่วิ่งได้ระยะทางประมาณ 75 กม. และรุ่นที่ใช้แบตเตอรี่ 3.4กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่วิ่งได้ไกลขึ้นสองเท่าคือ 150 กม. สนนราคาคาดว่าจะอยู่ในช่วงประมาณ 80,000 – 120,000 บาท

AIS Digit All ศูนย์บริการยุคใหม่ไม่มีพนักงาน

ค่อยๆ มีออกมาให้เห็นเรื่อยสำหรับการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในธุรกิจต่างๆ ทั้งการผลิตและการบริการ สำหรับข่าวนี้เป็นการให้บริการของ AIS ในส่วนของศูนย์บริการซึ่งตอนนี้ได้เปิดศูนย์บริการต้นแบบที่ไม่ต้องใช้พนักงานขึ้นแล้วเป็นแห่งแรกมีชื่อว่า AIS Digit All

AIS Digit All ศูนย์บริการที่ไม่ต้องใช้พนักงานแห่งแรกนี้อยู่ที่ ศูนย์การค้า เซ็นทรัล ภูเก็ต ฟลอเรสต้า จังหวัดภูเก็ต ภายในศูนย์บริการจะไม่มีเคาน์เตอร์แบบเดิมๆ อีกต่อไปแต่จะเรียงรายไปด้วยตู้เซอร์วิสเพื่อให้บริการต่างๆ และ AI หรือหุ่นยนต์ที่มีชื่อว่า Lisa คอยเป็นผู้ช่วยและให้บริการแทนพนักงานที่เป็นมนุษย์

โซนต่างๆ จะแบ่งได้หลักๆ 4 โซนดังนี้

  • DIGIT ORDER โซนของการซื้อสินค้าต่างๆ ซื้อแพ็กเกจ ซิมการ์ด ย้ายค่าย ฯลฯ
  • DIGIT VENDING เป็นโซนสำหรับซื้อสินค้า เช่น อุปกรณ์เสริมทั้งหลาย ซึ่งจะอยู่ในตู้เลือกและชำระเงินได้ทันทีด้วย RABBIT LINE PAY VENDING
  • DIGIT CAFÉ โซนคาเฟ่ที่มีเครื่องดื่มไว้บริการ
  • DIGIT INNOVATION โซนจัดแสดงข้อมูลต่างๆ

จุดเด่นของบริการนี้คือความรวดเร็วเพราะแทบจะไม่ต้องรอคิว เพราะการให้บริการต่างๆ แยกโซนไว้อย่างชัดเจน ใครต้องการทำสิ่งใดก็ไปยังโซนที่ต้องการได้เลย อีกทั้ง Lisa ก็จะคอยเป็นผู้ช่วยวนเวียนอยู่โดยรอบ ตลอดจนเรื่องของการจ่ายเงินก็เป็นแบบ Cashless จ่ายได้ง่ายๆ เพียงแค่สแกน QR Code

เชื่อว่าการใช้งานครั้งแรกๆ อาจจะติดขัดบ้าง ทั้งนี้ในศูนย์บริการ AIS Digit All จะยังคงมีพนักงานส่วนหนึ่งไว้คอยให้ความช่วยเหลือ หมายถึงให้คำแนะนำการใช้งาน แต่จะไม่ได้ให้บริการหรือช่วยทำธุรกรรมใดแทนให้

เพื่อให้เห็นภาพลองดูวิดีโอแนะนำบริการของ AIS ด้านล่างประกอบจะได้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายขึ้น เชื่อว่าอีกไม่นานศูนย์บริการแบบนี้คงกระจายไปทั่วประเทศและเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

Google Maps AR ฟีเจอร์ใหม่บอกทางให้ชัดเจนขึ้น

ส่วนตัวผมว่า Google Maps ที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าใช้งานได้ดีในระดับหนึ่งแล้วนะ ช่วยให้การเดินทางไปยังสถานที่ที่เราไม่เคยไปทำได้ง่ายขึ้น (แม้บางครั้งในบางเส้นทางจะพาหลงเข้าป่าเข้าพงไปบ้างก็ตามที)

ถึงอย่างนั้น Google ก็ยังคงไม่หยุดพัฒนาความสามารถ โดยล่าสุดมีข่าวว่าฟีเจอร์ที่จะมีการใช้ AR เข้ามาช่วยนำทางซึ่ง Google ได้เคยประกาศไว้ในงาน I/O ปี 2018 ที่เรียกว่า Google Maps AR อาจจะเปิดให้ใช้งานได้ในอีกไม่นานนี้

ถ้าใครไม่ได้ตามข่าวในตอนนั้นว่าฟีเจอร์นี้คืออะไร Google Maps AR ก็คือ การนำเอาเทคโนโลยี AR เข้ามาช่วยในการแสดงสัญลักษณ์บอกทางเพื่อให้ผู้ใช้แอปพลิเคชั่นเข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น เดิมทีแอป Google Maps ที่เราใช้อยู่ เวลาแอปบอกว่าอีก 60 เมตรเลี้ยวซ้าย บางทีเราก็สับสนว่าซอยไหนกันแน่ โดยเฉพาะจุดไหนที่มีซอยอยู่ใกล้ๆ กัน

ดังนั้นหากมี AR เข้ามาช่วย ถ้าเราถือโทรศัพท์ตั้งขึ้นส่องไปข้างหน้านอกจากจะมีสัญลักษณ์ที่เป็นลูกศรเลี้ยวซ้ายเดิมตรงมุมบนของหน้าจอตามปกติแล้ว ต่อไปจะมีสัญลักษณ์ลูกศรตัวใหญ่ๆ แสดงขึ้นมาบนหน้าจอให้เราเห็นชัดๆ อีกด้วย (ดูภาพประกอบ) เอาให้ชัดกันสุดๆ ไปเลย

Source : androidauthority.com

Elon Musk เปิดเสรีสิทธิบัตร Tesla เพื่อประโยชน์ในการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าร่วมกัน

สมกับเป็นนักธุรกิจแถวหน้าที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงสำหรับ Elon Musk ที่มักจะมีแนวคิดและการกระทำที่เห็นแล้วต้องทึ่ง เช่นในครั้งนี้ที่มีการแชร์พร้อมกับคำชื่นชมในวงกว้างเกี่ยวกับเรื่องของการเปิดโอกาสให้ทุกคนที่สนใจเข้าถึงเทคโนโลยีที่เป็นสิทธิบัตรการพัฒนารถไฟฟ้าของ Tesla พร้อมนำไปพัฒนาต่อยอดได้โดยไม่มีความผิดใดๆ ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าต้องเป็นการนำไปใช้โดยสุจริต

เห็นแบบนี้แล้วหลายคนอาจเกิดคำถามว่า ทำไมใจกว้างเช่นนี้ ไม่กลัวคู่แข่งจะนำไปพัฒนาแล้วนำมาสู่การเป็นคู่แข่งทางธุรกิจกับตัวเองเหรอ ซึ่งตรงนี้ทาง Elon Musk ผู้ที่ประกาศชัดเจนทาง Twitter ว่า All our patent are belong to you กล่าวในทำนองที่ว่า ผู้ที่พัฒนาต้องร่วมมือกันเพื่อให้รถไฟฟ้าเกิดขึ้นได้และมีการใช้งานอย่างเป็นรูปธรรม การที่ Tesla ทำอยู่คนเดียวไม่อาจประสบความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะในด้านของการแข่งขันกับคู่แข่งที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์แบบเดิมก็ตาม หรือในแง่ของการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดก็ตาม

นับว่าเทคโนโลยีซึ่งเป็นสิทธิบัตรของ Tesla นั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากจริงๆ เหนือสิ่งอื่นใด แนวคิดของ Elon Musk นั้นสุดยอดย่ิงกว่าและน่าชื่นชมจริงๆ

Google Maps ฟีเจอร์ใหม่ แจ้งเตือนจำกัดความเร็วและตำแหน่งของกล้อง

Google Maps กลายเป็นแอปพลิเคชั่นคู่กายของเราไปแล้วเวลาที่จะเดินทางไปไหนมาไหน เพราะมีคุณสมบัติที่ตอบโจทย์ทั้งความละเอียดของเส้นทาง ความแม่นยำ (แม้จะทำเอาหลายๆ คนใช้เส้นทางผิดไปบ้าง) และกราฟิกที่ดูแล้วเข้าใจง่าย

นอกจากนั้นยังมีการพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ ทำให้แอปพลิเคชั่นมีความสมบูรณ์และตอบโจทย์การใช้งานได้ดีขึ้น เช่น การค้นหาสถานที่ในอาคาร หรือการใช้งานแบบออฟไลน์ เป็นต้น และล่าสุดนี้ฟีเจอร์ที่ Google Maps ได้เพิ่มขึ้นมา คนใช้รถน่าจะชอบนั่นคือ Speed Limit Notifications หรือการแจ้งเตือนการจำกัดความเร็วในเส้นทางต่างๆ ที่เด็ดไปกว่านั้นคือ เตือนได้ด้วยว่ามีกล้องดักจับความเร็วอยู่ตรงไหนบ้าง

ตอนนี้มีบางประเทศที่สามารถใช้ฟีเจอร์นี้ได้แล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และแคนาดา อีกไม่นานประเทศไทยคงใช้ได้เช่นกัน แต่ผู้ใช้จะเห็นประโยชน์หรือสนใจการแจ้งเตือนหรือไม่ รวมถึง Google Maps เองจะตรวจสอบได้หรือไม่ว่ากล้องดักจับความเร็วของถนนในบ้านเราซ่อนตัวอยู่ไหนบ้าง

HaHa Taxi App จ่ายผ่ายบัตรได้ จ่ายเงินสดก็ได้

HaHa Taxi App เป็นแอปพลิเคชั่นสำหรับเรียกใช้บริการแท็กวี่ที่พัฒาขึ้นโดย บริษัท โฮวา อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ให้บริการสหกรณ์แท็กซี่สุวรรณภูมิ ซึ่งร่วมกับมาสเตอร์การ์ด หวังพัฒนารูปแบบการให้บริการแท็กซี่ให้ดีขึ้น

อย่างที่ทราบกันว่าการเรียกแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคขั่นนอกจากมีความสะดวกทั้งการเรียกใช้บริการที่ไม่ต้องไปยืนโบก ชำระเงินได้ผ่านออนไลน์หรือ e-Payment ยังมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่องของความปลอดภัยเนื่องจากแท็กซี่ที่จะให้บริการผ่านแอปได้จะต้องมีการลงทะเบียนกับผู้ให้บริการเสียก่อน ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถตรวจสอบรถคันที่ใช้บริการ ทะเบียน ชื่อ-นามสกุล และรูปถ่ายของผู้ขับได้ แต่หากมีเหตุฉุกเฉินเกิดขึ้น HaHa Taxi App ยังมีปุ่มฉุกเฉินให้กดเพื่อขอความช่วยเหลือได้

HaHa Taxi App รองรับทั้ง Android และ iOS การชำระเงินผ่าน e-Payment สามารถชำระได้ค่าเดินทางซึ่งจะเป็นไปตามระยะทางที่สามารถตรวจสอบได้ รวมถึงค่าทางด่วน หรือหากใครประสงค์จะชำระเงินสดก็สามารถทำได้เช่นกัน เพื่อให้การให้บริการแท็กซี่ครอบคลุมสำหรับผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม

การขึ้นทะเบียนผู้บังคับอากาศยานโดรน

โดรน (Drone) อากาศยานไร้คนขับ จากจุดเริ่มต้นที่ดูเหมือนเป็นของเล่นเป็นฮอบนี้สำหรับคนชอบบิน ตอนนี้มันเป็นอะไรที่ดูจริงจังไปเสียแล้ว เป็นของเล่นที่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ที่นึกจะหยิบเอามาบินได้ตามอำเภอใจ เนื่องจากการบันโดรนมีผลกระทบในหลายๆ ด้านไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความเสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้อื่นหรือของหน่วยงานราชการ หรือความเสี่ยงในเรื่องของความมั่นคง อีกทั้งจำนวนของผู้เล่นโดรนที่เพิ่มมากขึ้น หากไม่มีการควบคุมย่อมมีอันตรายเกิดขึ้นได้ เช่น การบินใกล้กับสถานที่ราชการหรือสนามบิน เป็นต้น

ดังนั้นคิดจะบินโดรนต้องทำให้ถูกต้อง!

การขึ้นทะเบียนผู้บังคับอากาศยานโดรน

ตอนนี้การบินโดรนหากทำไม่ถูกต้องและโดยเฉพาะมีความเสียหายเกิดขึ้นอาจได้รับโทษตามกฏหมายนะครับ โดยมีบทลงโทษตามพระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.. 2497 มาตรา 24 ประมวล มาตรา 78 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ที่สนใจจะบินโดรนจะเพื่อความสนุกสนานหรือเพื่อกิจกรรมใดๆ ก็ตามควรขึ้นทะเบียนให้ถูกต้องตามนี้

การขอขึ้นทะเบียนผู้บังคับอากาศยานโดรนต้องติดต่อหน่วยงานใดบ้าง

  • ต้องขึ้นทะเบียนทั้ง 2 หน่วยงานคือ CAAT และ กสทช.
  • โดยการขึ้นทะเบียนกับ CAAT เป็นการขึ้นทะเบียนผู้บังคับอากาศโดรน ส่วนการขึ้นทะเบียนกับ กสทช. เป็นการขึ้นทะเบียนขออนุญาตใช้คลื่นความถี่

แม้จะขึ้นทะเบียนใช้คลื่นความถี่โดรนกับ กสทช. แล้ว ก็ยังไม่สามารถบินโดรนได้ ต้องขึ้นทะเบียนผู้บังคับอากาศโดรนกับ CAAT ด้วย จึงจะได้รับหนังสือการขึ้นทะเบียนผู้บังคับอากาศยานโดรนเสมือนการทำใบขับขี่โดรนจาก CAAT ถึงจะสามารถบินโดรนได้

เอกสารในการลงทะเบียนโดรน

สำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน

  • ใบรับรองตนเอง
  • ประกันภัยบุคคลที่ 3
  • ภาพถ่ายโดรนที่เห็น Serial Number
  • กรอกคำขอขึ้นทะเบียนที่ https://www.caat.or.th/uav/

โดรนแบบไหนบ้างที่ต้งขึ้นทะเบียน

  • ติดตั้งกล้องบันทึกภาพต้องขึ้นทะเบียนทุกกรณี
  • น้ำหนักเกิน 2 กิโลกรัม ต้องขึ้นทะเบียนทุกกรณี ทั้งนี้ไม่ติดตั้งกล้องบันทึกภาพและน้ำหนักไม่เกิน 2 กิโลกรัม ไม่ต้องขึ้นทะเบียน
  • โดรนที่มีน้ำหนักเกินกว่า 25 กิโลกรัมขึ้นไป (ต้องได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม)

โดยหนังสือการขึ้นทะเบียนผู้บังคับอากาศยานโดรนมีอายุ 2 ปีนับตั้งแต่วันที่ออกหนังสือ

ข้อกำหนดในการบินโดรน

  • ห้ามบินหลังพระอาทิตย์ตกดิน
  • ห้ามบินใกล้อากาศยายซึ่งมีนักบิน
  • ห้ามบินเข้าใกล้เมฆ
  • ห้ามบินโดยก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น
  • ห้ามบินสูงเกิน 90 เมตร นับจากพื้นดินและห้ามบินในแนวราบกับบุคคล ยานพาหนะ สิ่งก่อสร้าง น้อยกว่า 30 เมตร
  • ห้ามบินในระยะ 9 กิโลเมตรจากสนามบินเว้นแต่ได้รับอนุญาต
  • ห้ามบินในเขตหวงห้ามเช่นสถานที่ราชการโรงพยาบาลเว้นแต่ได้รับอนุญาต
  • ห้ามบินโดยก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน

ข้อมูลจาก : www.facebook.com/caat.thailand

CES 2019 ส่องนวัตกรรมที่ใครๆ ก็พูดถึง

งานใหญ่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ใครๆ ก็ต้องติดตามคงไม่พ้นงาน ‎Consumer Electronics Show หรือ CES ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในเดือนมกราคม

งานนี้เป็นงานใหญ่มากจริงๆ ทุกวงการอุตสาหรรมต่างขนนวัตกรรมของตนมาแสดงในงานนี้ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมไอที อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนต์ หรือแม้แต่อุตสาหกรรมอาหารก็มีมาแสดงด้วย แน่นอนว่าทีเด็ดหรือสิ่งที่น่าสนใจในงานนั้นมีมากมายเหลือเกิน คงรวบรวมให้ดูกันได้ไม่หมดแน่ๆ ดังนั้นในงาน CES 2019 ขอสรุปและนำนวัตกรรมเจ๋งๆ ที่มีการพูดถึงและแชร์กันอย่างกว้างมาให้ดูกันพอเป็นสีสันก็แล้วกัน

FoldiMate เครื่องพับผ้าอัจฉริยะ สำหรับแม่บ้านยุคใหม่ (และต้องกระเป๋าหนาด้วยนะ) เครื่องพับผ้าของ FoldiMate ที่นำมาแสดงในงาน CES 2019 เป็นรุ่นที่สองแล้ว ยังมีคุณสมบัติเหมือนเดิมคือ สามารถพับผ้าอัตโนมัติได้อย่างเหมาะสมกับเสื้อผ้าแต่ละประเภท แต่มีการอัปเกรดฟังก์ชั่นบางอย่าง เช่น การใส่กลิ่นหอมให้กับเสื้อผ้า มีการลดขนาดเครื่องให้เล็กลง และปรับราคาลดลงนิดหนึ่ง จากรุ่นแรกมีราคาราวๆ 16,000 เหรียญ ครั้งนี้ราคาถูกลง 1,000 เหรียญ นี่ไงถึงบอกว่าต้องเป็นแม่บ้านยุคใหม่ที่กระเป๋าหนาด้วยนะ เพราะสนนราคาราวๆ 500,000 บาทเลยทีเดียว

LG OLED TV จอม้วนได้ เห็นเทรนด์การพัฒนาจอม้วนได้กันมาสักระยะแล้ว ดูเหมือนว่าต่อไปคงมีจอทีวีแบบม้วนได้ออกมาขายจริงๆ เพราะ LG ยังคงนำเสนอเรื่องนี้ โดยได้เอาจอต้นแบบ LG OLED TV R ที่มีความละเอียด 4K UHD ขนาด 65 นิ้วซึ่งสามารถม้วนเก็บได้มาโชว์

BreadBot เครื่องทำขนมปังอัตโนมัติ เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยี AI ที่จะพัฒนาขึ้นมาทำอะไรแทนมนุษย์แบบครบวงจร เจ้าเครื่องนี้ทำได้ตั้งแต่เริ่มต้นผสมแป้ง นวดแป้ง และอบจนเสร็จเป็นขนมปังที่พร้อมเสิร์ฟ ซึ่งจากเครื่องต้นแบบจะเห็นว่าคนที่สั่งจะเห็นกระบวนการทำด้วยตั้งแต่แกรเลยจนออกมาเป็นขนมปังที่พร้อมทาน

Samsung Bot Care หุ่นยนต์เพื่อนรัก อีกไม่นานตามบ้านเรือนคงมีหุ่นยนต์ประจำบ้านอย่างแน่นอน ซึ่งซัมซุงเองก็ได้นำนวัตกรรมทางดานนี้มาแสดง เป็นหุ่นยนต์ที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อเป็นคนดูแลสมาชิกภายในบ้าน โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ต้องการผู้ช่วยในการคอยตรวจและเตือนเรื่องของความดัน อัตราการเต้นของหัวใจ การติดต่อกับคนในครอบครัวหรือหมอจากระยะไกล นอกจาก Samsung Bot Care แล้วก็ยังมี Samsung Bot Air ในการช่วยตรวจเรื่องสภาพอากาศ และ Samsung Bot Retail สำหรับอำนวยความสะดวกเรื่องการสั่งสิ้นค้าอีกด้วย

Impossible Burger 2.0 เบอร์เนื้อที่ไม่ได้ทำจากเนื้อ และนี่คือเทคโนโลยีทางด้านอาหารที่นำมาแสดงในงานและมีการพูดถึงอย่างกว้างขวางกับการพัฒนาเนื้อสำหรับทำเบอร์เกอร์ที่ไม่ได้ใช้เนื้อจริงๆ แต่ได้รสชาติที่ใกล้เคียงกับเนื้อมากๆ

Bosch สยายปีกขึ้นแท่นผู้นำ IoT แห่งยุคในงาน CES 2019

เทคโนโลยี IoT กำลังเปลี่ยนแปลงโลกมากขึ้นทุกขณะ ดังที่ปรากฏให้เห็นได้ชัดเจนที่งานแสดงนวัตกรรมและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ปี 2019 (2019 Consumer Electronics Show: CES) ซึ่งจัดขึ้นที่นครลาสเวกัส โดยบ๊อชได้จัดแสดงเทคโนโลยีต่างๆ ของบริษัทฯ ที่นำมาใช้ได้จริงในปัจจุบัน เริ่มตั้งแต่แนวคิดการออกแบบยานพาหนะขนส่งสาธารณะที่ทำให้เทคโนโลยีการขับเคลื่อนเกิดขึ้นได้จริง ไปจนถึงตู้เย็นที่มีระบบเชื่อมต่ออัจฉริยะที่สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับการจัดเก็บและสำรองอาหารในตู้เย็นได้ และแม้กระทั่งเครื่องตัดหญ้าอัจฉริยะที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาการทำงานจากการใช้งานจริงได้ แสดงให้เห็นถึงความตระการตาของโซลูชั่นส์จากบ๊อช ซึ่งถูกนำมาจัดแสดงที่งานแสดงสินค้าอิเลคทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลกครั้งนี้

“บ๊อชมองเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ของเทคโนโลยี IoT มาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น เราจึงได้วางแนวทางการพัฒนาโลกแห่งการเชื่อมต่ออย่างจริงจังมาเกือบหนึ่งทศวรรษแล้ว” ดร. มาร์คัส เฮย์น หนึ่งในคณะกรรมการบริหารของบ๊อช กล่าว “ปัจจุบัน เราเป็นบริษัทชั้นนำในด้าน IoT โดยเราเสริมสร้างความเชี่ยวชาญด้านซอฟต์แวร์และ IoT มาอย่างเป็นขั้นเป็นตอน” การที่บ๊อชมีระบบคลาวด์ IoT เป็นของตัวเอง ช่วยให้บริษัทฯ สามารถพัฒนาโครงการต่างๆ มากกว่า 270 โครงการ ที่ครอบคลุมทั้งด้านเทคโนโลยีการขับเคลื่อน สมาร์ทโฮม สมาร์ทซิตี้ และเกษตรกรรม ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนของเซ็นเซอร์และอุปกรณ์ต่างๆ ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบ Bosch IoT Suite ที่เพิ่มขึ้นราวร้อยละ 40 มาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยถึงตอนนี้มีจำนวนเซ็นเซอร์ที่บ๊อชผลิตรวมราว 8.5 ล้านชิ้น

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างการเติบโตและโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ด้าน IoT คือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ ซึ่งบ๊อชส่งเสริมการพัฒนาด้านนี้อย่างจริงจัง “เราจะปลดล็อกศักยภาพของเทคโนโลยี IoT ได้อย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อได้เชื่อมโยงมันเข้ากับเทคโนโลยีเอไอ จึงต้องมีการพัฒนาโครงการด้าน IoT และเอไอควบคู่กันไป” มร. เฮย์น กล่าว ซึ่งเขามีความเห็นว่าเทคโนโลยีทั้งสองนี้ต่างเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน “เทคโนโลยี IoT ต้องการเชาวน์ปัญญา การใช้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันได้ในการรวบรวมข้อมูล จะเป็นแรงผลักดันสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีเอไอ ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีเอไอเท่านั้นที่สามารถทำให้อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันได้มีเชาวน์ปัญญา จนสามารถเรียนรู้ที่จะคิดวิเคราะห์หาข้อสรุปและประมวลผลต่างๆ ได้ด้วยตัวเอง เหนือสิ่งอื่นใด เรามุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในแต่ละวันให้ดียิ่งขึ้น มีเวลามากขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น รวมทั้งมีประสิทธิภาพและความสะดวกสบายยิ่งขึ้น”

นอกจากนี้ มร. เฮย์น ยังยกตัวอย่างเครื่องตรวจจับควันระบบวิดีโอ โดยใช้ระบบวิเคราะห์ภาพแบบอัจฉริยะ และกล้องรักษาความปลอดภัยชนิดต่างๆ ที่ช่วยให้สามารถตรวจจับกองไฟภายในเวลาไม่กี่วินาที ซึ่งไวกว่าที่ตัวเซ็นเซอร์ของระบบจะสามารถตรวจจับความร้อนและควันไฟได้เสียอีก ระบบนี้ทำให้พบกองไฟได้อย่างรวดเร็วกว่าระบบเดิมมาก จึงช่วยเพิ่มเวลาที่จะปกป้องและรักษาชีวิตของผู้คน

ปัจจัยที่สองในการกรุยทางความสำเร็จสู่ยุค IoT คือการเป็นพันธมิตร โดยบ๊อชร่วมงานกับทั้งผู้เล่นหน้าเดิมและหน้าใหม่ เมื่อเร็วๆ นี้ บ๊อชได้ร่วมมือกับผู้ให้บริการด้านแพลตฟอร์มสัญชาติแคนาดาชื่อ Mojio เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม IoT แบบบูรณาการเพื่อใช้กับยานยนต์ที่เชื่อมต่อกันได้ขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ ระบบอัลกอริทึมของบ๊อชจะระบุได้ว่าเกิดอุบัติเหตุขึ้นที่ไหน เมื่อใด และรุนแรงเพียงใด ข้อมูลจะส่งผ่านบนระบบคลาวด์ของ Mojio ไปยังศูนย์บริการเหตุฉุกเฉินของบ๊อชอย่างรวดเร็ว พร้อมกับการโทรขอความช่วยเหลือฉุกเฉินไปยังศูนย์ให้ความช่วยเหลือของท้องถิ่นโดยอัตโนมัติ และในขณะเดียวกัน ข้อความก็จะถูกส่งไปยังผู้รับที่มีการกำหนดตั้งค่าไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของข้อความ หรือบนแอปฯ ของ Mojio “การร่วมมือกับ Mojio ทำให้เราสามารถเชื่อมต่อยานยนต์ได้โดยตรงกับระบบคลาวด์ ซึ่งช่วยให้ความช่วยเหลือต่างๆ ไปถึงจุดเกิดเหตุได้รวดเร็วกว่าเดิมมาก” มร. ไมค์ แมนซูเอตโต้ ประธานบริษัทบ๊อชในอเมริกาเหนือ กล่าวที่งาน CES ทั้งนี้ นับตั้งแต่กลางปีหน้า ผู้ขับยานยนต์ราว 1 ล้านรายในอเมริกาเหนือและยุโรป จะมีโอกาสได้ใช้โซลูชั่นเทคโนโลยี IoT สำหรับระบบฉุกเฉินแล้ว


เทคโนโลยี IoT รุดหน้า: บ๊อชสร้างสรรค์เทคโนโลยีการขับเคลื่อนที่เชื่อมต่อกันแห่งอนาคต
บ๊อชได้พัฒนายานยนต์ขนส่งสาธารณะต้นแบบ และเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่งาน CES โดยยานยนต์รุ่นนี้ผสานด้วยโซลูชั่นส์ต่างๆ ทั้งด้านระบบอัตโนมัติ เทคโนโลยีแห่งการเชื่อมต่อ และเทคโนโลยีขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ ซึ่งผู้เข้าชมงานจะมีโอกาสได้สัมผัสกับยานยนต์ขนส่งไร้คนขับเป็นครั้งแรก โดยคาดว่าจะพร้อมโลดแล่นในเมืองต่างๆ ทั่วโลกเร็วๆ นี้ มร. เฮย์น กล่าวว่า “นับเป็นการสะท้อนวิสัยทัศน์ด้านเทคโนโลยีการขับเคลื่อนของเรา ทั้งการปราศจากการปล่อยก๊าซพิษ การปลอดอุบัติเหตุ และความไร้กังวลที่เป็นไปได้จริงๆ ”

นอกจากบ๊อชจะเป็นผู้สร้างสรรค์อุปกรณ์ส่วนประกอบและระบบต่างๆ ของเทคโนโลยีการขับเคลื่อนสำหรับการขนส่งสาธารณะแล้ว บริษัทฯ ยังให้บริการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการขับเคลื่อน อาทิ การจอง การแชร์รถ และแพลตฟอร์มด้านระบบเชื่อมต่อต่างๆ รวมทั้งที่จอด และการบริการเติมแบตเตอรี่อีกด้วย ซึ่งบ๊อชเชื่อว่าการบริการระบบเชื่อมต่อเหล่านี้ มีความสำคัญต่อเทคโนโลยีการขับเคลื่อนสำหรับอนาคตอย่างมาก นอกจากนี้ ยังมีการคาดการณ์ปริมาณการซื้อขายในตลาดเกี่ยวกับบริการเหล่านี้อยู่ในระดับที่สูง โดยจากที่มีมูลค่า 4.7 หมื่นล้านยูโรในปี 2560 คาดว่าตัวเลขจะเพิ่มเป็น 14 หมื่นล้านยูโรภายในปี 2565 (ที่มา: ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์ – PwC) และที่สำคัญ บ๊อชตั้งเป้าส่วนแบ่งในตลาดนี้ โดยมีเป้าหมายการเติบโตของกลุ่มโซลูชั่นส์เหล่านี้ในอัตราเลขสองหลัก มร. เฮย์น กล่าวด้วยความมั่นใจว่า “ในอนาคต ยานยนต์บนถนนทุกคันจะต้องใช้เทคโนโลยีดิจิทัลของบ๊อช โดยเราจะรวบรวมเทคโนโลยีต่างๆ ไว้ด้วยกัน ภายใต้ระบบนิเวศของการเชื่อมต่อที่ทั้งชาญฉลาดและไร้รอยต่อ”

หนึ่งในอุปสรรคขั้นสุดท้ายในการนำเทคโนโลยีการขับเคลื่อนด้านการขนส่งด้วยรถสาธารณะมาสู่การใช้งานจริงคือ ระบบอัตโนมัติของยานยนต์ที่จะต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมของเมืองที่ยุ่งเหยิง เพราะฉะนั้น บ๊อชจึงเชื่อว่าการหาพันธมิตรคือคำตอบที่ดีที่สุด โดยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เมืองซาน โฮเซ่ ซึ่งอยู่ในพื้นที่ซิลิคอน แวลลี่ย์ของแคลิฟอร์เนีย จะเป็นเมืองต้นแบบสำหรับการทดลองการบริการใช้รถร่วมกันโดยใช้ระบบอัตโนมัติและไร้คนขับโดยสมบูรณ์ ซึ่งบ๊อชร่วมพัฒนาขึ้นกับเดมเลอร์ (Daimler) โดยมีการลงนามความร่วมมือจากทั้ง 3 ฝ่ายเรียบร้อยแล้ว จากการผสานความร่วมมือในครั้งนี้ บ๊อชและเดมเลอร์ตั้งเป้าแก้ไขปัญหาการจราจรในเมืองให้คล่องตัวมากขึ้น และเพิ่มความปลอดภัยบนถนน อีกทั้งยังวางรากฐานโครงสร้างที่สำคัญสำหรับการจราจรในอนาคต โดยเป้าหมายของทั้งสองฝ่ายคือ การพัฒนาระบบขับขี่ให้เป็นการขับขี่แบบไร้คนขับด้วยระบบอัตโนมัติที่สมบูรณ์แบบ (ระบบขับขี่อัตโนมัติตามมาตรฐาน SAE Level 4/5) ที่พร้อมจะเข้าสู่กระบวนการผลิตภายในต้นทศวรรษหน้า

เทคโนโลยี IoT ในบ้าน: อุปกรณ์และเครื่องใช้ในบ้านที่เชื่อมต่อกัน ช่วยให้ชีวิตของเจ้าของบ้านสะดวกและง่ายดายขึ้นอย่างชัดเจน
ไม่เพียงแต่ผลิตภัณฑ์และการบริการที่เชื่อมกันบนท้องถนนซึ่งทำให้ชีวิตผู้คนสะดวกสบายขึ้นเท่านั้นที่เป็นที่ต้องการ มร. เฮย์น กล่าวว่า “เรากำลังพัฒนาแนวคิดในเรื่องบ้านที่เชื่อมต่อกัน รวมถึงอุปกรณ์และเครื่องใช้ในบ้านที่สามารถคิดวิเคราะห์ได้เองโดยอัตโนมัติ และเข้าใจความต้องการของผู้ใช้งาน” ยกตัวอย่างเช่น ในงาน CES บริษัทฯ ได้แสดงฟังก์ชั่นใหม่ล่าสุดสำหรับตู้เย็นระบบเว็บเบส (web-enabled) ที่สามารถจดจำประเภทอาหาร และให้คำแนะนำในการจัดเก็บและสำรองอาหารในตู้เย็นได้ โดยกล้องที่ติดตั้งภายในตู้เย็นจะจดจำชนิดของผักและผลไม้ราว 60 ชนิดโดยอัตโนมัติ และแนะนำตำแหน่งการจัดเก็บที่ดีที่สุดผ่านทางแอปฯ จึงช่วยให้การเก็บอาหารเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม สามารถเก็บความสดไว้ได้นานขึ้น และลดการทิ้งของเสียให้น้อยลง

นอกจากนี้ บ๊อชยังได้คิดค้นโปรเจคเตอร์ PAI ที่สามารถฉายจอภาพอินเทอร์เฟซแบบเสมือนจริงบนเคาน์เตอร์ครัว เซ็นเซอร์สามมิติแบบบูรณาการจะจับการเคลื่อนไหวของมือ โดยผู้ใช้งานจะใช้มือสัมผัสที่จอภาพเพื่อออกคำสั่งทำงาน ผู้ใช้งานสามารถค้นหาสูตรทำอาหารทางออนไลน์ และแม้กระทั่งโทรศัพท์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ตในระหว่างทำอาหารหรืออบอาหารอยู่ โปรเจคเตอร์ PAI
ถูกออกแบบมาสำหรับสภาพการใช้งานในครัวโดยเฉพาะ จึงมีความทนทาน ไม่ต้องระวังเรื่องการใช้งานเหมือนกับสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ต และแม้นิ้วมือจะเหนียวเหนอะหนะ ก็ยังคงสามารถสั่งการโปรเจคเตอร์นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งนี้ บริษัทฯ วางแผนเปิดตัว PAI ในเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ที่ประเทศจีนเป็นที่แรก ก่อนนำออกสู่ตลาดในสหรัฐอเมริกาต่อไป

ไม่เพียงเท่านั้น บ๊อชยังเปิดตัว Indego S+ หุ่นยนต์ตัดหญ้าซึ่งสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ในงาน CES นี้ด้วย โดยนับเป็นหนึ่งในหุ่นยนต์ตัดหญ้ารุ่นแรกๆ ที่ใช้ระบบควบคุมด้วยเสียงโดย Amazon Alexa และยังเป็นหุ่นยนต์ตัดหญ้าเพียงรุ่นเดียวที่สามารถเชื่อมต่อการพยากรณ์อากาศบนเว็บไซต์ เพื่อวิเคราะห์ว่าควรตัดหญ้าครั้งต่อไปเมื่อใด นอกจากนี้ บ๊อชได้นำเทคโนโลยีเอไอมาพัฒนาหุ่นยนต์ให้สามารถจดจำสิ่งกีดขวางต่างๆ บนสนามหญ้า โดยการประเมินข้อมูลต่างๆ เช่น การทำงานของมอเตอร์ ความเร่ง ความเร็วของมอเตอร์ และทิศทาง มร. เฮย์น กล่าวว่า “เราใช้เทคโนโลยีเอไอมาช่วยให้การตัดหญ้าเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น เป้าหมายคือการทำให้ Idego สามารถปรับการทำงานให้เหมาะสมกับสภาพของหญ้าในสวน เพื่อให้งานตัดหญ้าออกมาสมบูรณ์แบบและสวยงามทุกครั้ง”

เทคโนโลยี IoT #LikeABosch: บ๊อชเปิดตัวแคมเปญ IoT ระดับโลก
ท้ายสุด บ๊อชใช้โอกาสนี้เปิดตัวแคมเปญใหม่ของบริษัทฯ ซึ่งเป็นแคมเปญภาพลักษณ์ IoT โดยหมัดเด็ดของแคมเปญ คือ การใช้คลิปวิดีโอเพลงแนวฮิปฮอปที่มีตัวเอกเป็นผู้ใช้งานที่เชี่ยวชาญด้าน IoT กล่าวได้ว่า บ๊อชกำลังก้าวเข้าสู่อาณาจักรใหม่ของธุรกิจด้วยการชูแคมเปญ “Like a Bosch” ที่สะท้อนแนวทางและรูปแบบที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดสำหรับการเดินทางครั้งใหม่ของบริษัทฯ ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2429 ซึ่งชิ้นงานพีอาร์ครั้งนี้ ต่อยอดมาจากไวรัลคลิปวิดีโอและมีมยอดฮิตในธีม ‘like a boss’ ที่มีการแชร์กันอย่างแพร่หลายบนอินเทอร์เน็ต ด้วยยอดวิวหลายสิบล้านครั้ง โดยตัววิดีโอจะแสดงภาพผู้คนที่ทำอะไรแผลงๆ หรือผาดโผน เพื่อเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่คับขันได้อย่างมีชั้นเชิง

แคมเปญภาพลักษณ์ IoT ของบ๊อช จะใช้การเปลี่ยนตัวอักษรเพียงบางตัว เพื่อเพิ่มลูกเล่นดึงดูดความสนใจบนโลกอินเทอร์เน็ต โดยตัวเอกเป็นผู้ชายที่สามารถควบคุมและจัดการทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย ด้วยการใช้โซลูชั่นส์ที่เชื่อมต่อกันของบ๊อช ซึ่งเพียงแค่ใช้สมาร์ทโฟน เขาก็สามารถสั่งการรถยนต์ เครื่องตัดหญ้า และแม้กระทั่งเครื่องทำกาแฟได้อย่างเท่ สมาร์ท และคล่องแคล่วมั่นใจ เรียกได้ว่า เขาสามารถจัดการทุกเรื่องได้อยู่หมัดในแบบ ‘like a Bosch’ เลยทีเดียว

Google AutoDraw & Quick Draw ให้เด็กๆ เล่นเสริมทักษะสร้างจินตนาการ

เอาโปรแกรมดีๆ อีกทั้งยังเป็นของฟรี! มาฝากพ่อแม่ที่กำลังมองหาสิ่งดีๆ เอาไว้เสริมทักษะและพัฒนาการให้กับลูกน้อย 2 โปรแกรมที่จะแนะนำคือ AutoDraw และ Quick Draw เป็นโปรแกรมที่พัฒนาขึ้นโดย Google ทั้งคู่ในโปรเจ็ก AI Experiments

Google AutoDraw เปลี่ยนภาพยึกยือเป็นภาพแสนสวย

สำหรับ AutoDraw เป็นโปรแกรมที่ช่วยเปลี่ยนภาพลายเส้นจากภาพที่อาจจะเป็นเส้นยึกยือไม่เป็นรูปเป็นร่างให้เป็นลายเส้นที่ชัดเจนและได้ภาพที่สวยงามตรงกับที่คนวาดต้องการ โดยระบบจะเดาลายเส้นที่เราวาดว่าต้องการจะวาดออกมาเป็นภาพอะไร แม้ลายเส้นจะไม่สวย แต่ขอให้มีเค้าโครงที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่ต้องการวาดก็พอ จากนั้นระบบจะขึ้นภาพตัวอย่างขึ้นมาด้านบนให้เลือกเพื่อแปลงเป็นภาพที่สวยงาม

Google Quick Draw วาดภาพตามโจทย์ใน 20 วินาที

ส่วน Quick Draw เป็นเสมือนการทดสอบทักษะการวาดภาพ ระบบจะให้โจทย์ว่าให้วาดภาพอะไร มีเวลา 20 วินาที ระหว่างที่วาดระบบจะเดาไปเรื่อยๆ ว่าลายเส้นที่เราวาดนั้นระบบมองเห็นเป็นภาพอะไรบ้าง แต่สุดท้ายแล้วระบบจะตอบว่าภาพที่วาดเสร็จแล้วนั้นตรงกับโจทย์ที่บอกไว้ไหม เป็นโปรแกรมสนุกๆ บางทีเราก็ว่าเราวาดภาพได้ตรงกับโจทย์แล้วนะ แต่ทำไมระบบเดาไม่ถูก ไม่แน่ใจว่า AI ยังไม่เก่งหรือฝีมือเรายังไม่เข้าขั้นกันแน่ ฮ่าๆๆๆ

จริงๆ แล้วไม่เฉพาะเด็กๆ นะ ผู้ใหญ่ก็เล่นได้ สนุกและคลายเครียดดีเหมือนกัน