การตั้งปุ่มเปลี่ยนภาษาใน windows 10

จาก Link นี้ https://www.youtube.com/watch?v=ry7gduNSE6o เป็น Clip ที่ช่วยแนะนำการตั้งค่าปุ่มตัวหนอน ให้สามารถสลับการใช้งาน Keyboard เพื่อสลับระหว่างภาษาไทยกับ English ได้

ปกติเวลาที่เราลง Windows10 ใหม่ จะไม่สามารถใช้งานปุ่มนี้ได้ และใน windows 10 รุ่น Update มีการเปลี่ยนขั้นตอนในการเซตค่าใหม่ทำหลายคน งงในงง เรามาดูขั้นตอนการเซตค่าตามนี้

การเซตปุ่มเปลี่ยนภาษาใน windows 10

    1. Start/Settings
    2. Time & Language
    3. Region & Language
    4. Advance Keyboard Settings
    5. Language Bar Options
    6. เลือก Tab Advance Key Setting
    7. Change Key Sequence
    8. เลือก Grave Accent ในช่อง Switch Input Language

Huawei ไม่ง้อ Google มี HongMeng OS สำรองไว้แล้ว

อภิมหาสงครามอินทรีย์ชนมังกรในมหาศึกแห่งการค้าแห่งโลกดิจิตอลได้อุบัติขึ้นแล้ว ในช่วงนี้คงไม่มีข่าวใดเป็นที่สนใจเท่าเรื่องนี้ การชิงไหวชิงพริบกันระหว่างรัฐบาลอเมริกากับรัฐบาลจีนที่ต่างฝ่ายต่างปล่อยอาวุธออกมาเพื่อลองเชิงของกันและกัน

เพียงแค่คำรบแรกก็ทำเอาคึกโครมไปทั้งโลกหลังจากที่อเมริกาบอกว่าให้ Google แบน Huawei ซึ่งดูแล้วไม่ระคายผิวของจีนแม่แต่น้อย เพราะ สี จิ้นผิง ได้ออกมาโต้ตอบทันทีโดยบอกว่าจีนก็จะไม่ส่งแร่ในการผลิตชิปให้อเมริกาแล้ว ยกแรกนี้ดูเหมือนว่าจีนจะได้เปรียบ เพราะหลังจากนั้นอเมริกาได้ออกมาบอกว่าจะระงับการแบนหัวเหว่ยชั่วคราว ทว่าไม่เป็นผลเพราะ CEO ของหัวเหว่ยก็ไม่สนเช่นกัน Google จะแบนก็แบนไป

Huawei เตรียมการไว้แล้ว

จะไม่ให้สะเทือนไปทั้งโลกได้ยังไง คนที่ใช้ Android ต่างก็คุ้นเคยกับ Google และบริการต่างๆ ของ Google ก็เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันไปแล้ว การที่ Google แบน Huawei จริงอยู่ว่า Android เป็น Open Source หัวเหว่ยยังคงพัฒนาต่อได้ แต่มันสำคัญตรงที่บริการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น Play Store เอย Google Maps เอย Gmail เอย YouTube ก็ด้วย และอีกหลายแอปพลิเคชั่นเลย เหล่านี้ต่างหากที่ผู้ใช้สมาร์ทโฟนกังวล

ในเบื้องต้นที่ Huawei ดูจะไม่สนใจมาตรการครั้งนี้ของอเมริกาเพราะว่า ทางหัวเหว่ยก็ได้เตรียมระบบปฏิบัติการของตนเองไว้แล้ว เตรียมไว้นานแล้วด้วยตั้งแต่ปี 2012 (คงรู้สถาการณ์ข้างหน้าดีว่าวันนี้จะมาถึง) ระบบปฏิบัติการดังกล่าวเรียกขานกันว่า HongMeng OS ที่ยังไม่มีการยืนยันว่าเป็นเพียงรหัสที่ใช้เรียกกันภายในหรือว่าจะใช้ชื่อนี้เลยในทางการตลาด

แล้วบริการหรือแอปพลิเคชั่นอื่นๆ ล่ะ แอปทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นวิดีโอ แชต แผนที่จริงๆ ที่จีนเขาก็มีใช้งานในประเทศของเขาอยู่แล้วนะ ลองเทียบเคียงกันดูอย่างเช่น YouTube ในจีนจะมีแอปที่ชื่อว่า Youku แอปสำหรับการค้นหาข้อมูลหรือ Search Engine แบบ Google ที่จีนเขาใช้ตัวนี้กัน Baidu แอปแบบ Twittter ก็มีนะชื่อว่า Weibo แอปพลิเคชั่นสำหรับโอนเงิน สังคมออนไลน์ ที่จีนก็มีทั้งนั้น

นอกเหนือจากเรื่องของการปรับเปลี่ยนการใช้งานที่จะน่าสนใจเหมือนกันแอปเดิมๆ ที่เราคุ้นเคยหรือเปล่า ก็ถือว่าเป็นเรื่องประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นดีเหมือนกัน เพราะที่ผ่านแอปพลิเคชั่นต่างๆ ที่ยกตัวอย่างมาเป็นเสมือนแอปภายในของคนในประเทศจีนเขาใช้กัน แม้คนนอกพยายามจะทดลองใช้ก็ไม่สะดวกเท่าไรด้วยปัญหาเรื่องของภาพาและการสื่อสาร แต่หาก Huawei นำมาใช้แทนบริการต่างๆ ของ Google แอปเหล่านั้นถูกใช้ในวงกว้างมากขึ้นอาจจะใช้งานได้ดีก็เป็นได้ อ่อ สำหรับแหล่งดาวน์โหลดก็น่าจะเป็น Huawei Play Store ไม่รู้ว่าตอนนี้มีแอปและเกมมากน้อยแค่ไหน

เท่าที่มีการนำเสนอข้อมูลในตอนนี้คาดว่า Huawei จะนำ HongMeng OS มาใช้ในอุปกรณ์ของตนในช่วงปลายปี 2019 นี้ ระหว่างนี้คนที่ใช้อุปกรณ์ของหัวเหว่ยไม่รู้จะเกิดสุญญากาศอะไรบ้างเกี่ยวกับการใช้งานของ Google ต้องรอดูกันต่อไป

ในบ้านเราอาจจมีปัญหาแค่หัวเหว่ยซึ่งก็ดูน่าตกใจแล้ว โดยเฉพาะผู้ที่ใช้หัวเหว่ยอยู่แล้ว ก็คงมีความกังวลบ้างเพราะมันเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันไม่น้อยก็มาก แต่ในจีนเองการที่อเมริกาหรือ Google มีปัญหากับจีนแบบนี้ หมายถึงอุปกรณ์ Android แบรนด์อื่นๆ ด้วยที่คงจะต้องถูกระงับการใช้งานในจีน นี่แหละเขาถึงเรียกว่าสงคราม (การค้า) ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นก็ต้องเตรียมรับมือกัน แต่ในมุมของการติดตามข่าวสารหรือการชิงไหวชิงพริบแล้วมันช่างน่าติดตาม เพราะทั้งจีนและอเมริกาต่างก็ช่างเป็นคู่ต่อกรที่สมน้ำสมเนื้อกัน งานนี้อาจกลายเป็นว่าทำให้จีนฮึดขึ้นมาและสร้างแพลทฟอร์มจีนจนยิ่งใหญ่ไปเลยก็ได้

สุดยอด Google Assistant โฉมใหม่ในงาน Google I/O 2019

ผู้ช่วยเหลืออัตโนมัติอย่าง AI บนสมาร์ทโฟนที่ผ่านมายังไม่ค่อยตอบโจทย์สักเท่าไร ยังไม่พูดถึงเรื่องของภาษานะ เอาเรื่องของการตอบสนองในการสั่งงานต่างๆ ก่อนไม่ว่าจะเรื่องของความแม่นยำหรือความเร็วก็ตาม แต่เมื่อได้ดูพรีเซนต์ Google Assistance โฉมใหม่ในงาน Google I/O 2019 แล้วต้องบอกว่า เรากำลังจะสบายกันแล้ว

ที่ว่ากำลังสบายเพราะว่า Google Assistance มันฉลาดมาก ต่อไปเราคงใช้สมาร์ทโฟนได้โดยแทบจะไม่ต้องหยิบเครื่องขึ้นมาถือหรือแทบจะไม่ต้องใช้มือจิ้มบนหน้าจอเลยด้วยซ้ำ ถ้านึกถึงการใช้งานผู้ช่วยอัจฉริยะบนสมาร์ทโฟนที่เป็นอยู่ตอนนี้ดูสิ ไหนหาข้อมูลหรือตอบคำถามได้ไม่ตรงกับที่ต้องการแล้ว เวลาจะใช้ทีก็ต้องคอยปลุกก่อนจะด้วยการกดปุ่มโฮมหรือพูด Hi …. ก่อนแล้วตามด้วยคำสั่งก็ตาม ดูยุ่งยากจังเลย แต่กับ Google Assistance มันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว

(ถ้าดูวิดีโอประกอบจะเห็นภาพมากขึ้น แล้วจะว้าว!) ถ้าจะให้ Google Assistance ช่วยอะไรก็แค่พูด Hey Google ครั้งแรกครั้งเดียวแล้วก็ใช้งานได้ยาวๆ เลย สั่งงานต่อเนื่องได้เลย และไม่ได้สั่งงานต่อเนื่องเฉพาะการใช้งานแอปหนึ่งแอปใด สั่งงานให้ทำโน่นนี่นั่นจากแอปนี้ไปแอปนี้ไปแอปนั้นได้เลย ถ้าจากตัวอย่างที่ทีมงาน Google พรีเซนต์ในงานจะเห็นว่าเธอสั่งเปิดปฏิทิน เปิดเครื่องคิดเลข เปิดโฟโต้ ตั้งเวลาถอยหลัง เช็กสภาพอากาศของวันนี้และวันพรุ่งนี้ สั่งให้นำทางไปยังที่พัก สั่งเซลฟี่ ได้แบบติดๆ กันในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเลย ซึ่ง Google Assistance ตอบสนองได้ทันถ่วงทีแบบไม่สะดุดเลย แจ่มมาก!

Video : Google Assistance 23.25

มันสามารถทำงานได้เร็วกว่าที่เป็นอยู่ถึง 10 เท่า นั่นเป็นเพราะทาง Google ได้ทำการบีบอัดข้อมูลจากเดิมที่ต้องใช้พื้นที่บนเซิร์ฟเวอร์ถึง 100 กิกะไบต์ ตอนนี้มันถูกบีบอัดให้เล็กลงอย่างไม่น่าเชื่อเหลือเพียง 0.5 กิกะไบต์เท่านั้น ทำให้สามารถใส่มันเข้าไปในสมาร์ทโฟนได้เลย และเมื่อไม่ต้องเชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์แล้ว ทำให้แม้จะไม่ได้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตก็สามารถใช้งานได้

เห็นแบบนี้เริ่มสนใจและอยากจะใช้บ้างแล้วใช่ไหมล่ะ รออีกหน่อยคาดว่าเดือนตุลาคม 2019 นี้แหละมันจะถูกใส่เข้าไปในสมาร์ทโฟนแล้ว แต่จะเป็นสมาร์ทโฟน Pixel 4 ของ Google นะรุ่นอื่นๆ รอก่อน แต่ก็คงไม่นานนักหรอก

 

 

DJI Osmo Action Camera ชนจังๆ งานนี้ GoPro มีสะเทือน

DJI ยังคงเดินหน้านำเสนอกล้องรูปแบบใหม่ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนติดไลฟ์ติดแชร์ในยุคนี้ ปีที่แล้วก็ตื่นตาตื่นใจไปแล้วรอบหนึ่งกับ DJI Osmo Pocket กล้องจิ๋วที่มาพร้อม Gimbal ในตัวที่มีขนาดโดยรวมเท่าฝ่ามือแค่นั้นเอง ใส่กระเป๋าเสื้อพกพาไปไหนได้สบายๆ

แรกทีเดียวก็คิดว่าจะมาแข่งกับ Action Cam เจ้าตลาดอย่าง GoPro หรือเปล่า แต่ด้วยรูปแบบที่ยังไม่สามารถลุยได้เต็มที่ก็เรียกว่ายังเป็นคนละตลาดกัน แต่ครั้งนี้ชนกันจังๆ แน่นอนกับกล้องรุ่นใหม่ของ DJI ตัวนี้ Osmo Action Camera ที่จะเปิดตัววันที่ 15 พฤษภาคม 2019 งานนี้จับกระเป๋าสตางค์ให้แน่น

DJI Osmo Action Camera มาในรูปแบบที่เหมือนกับ Action Cam อื่นๆ หรือ GoPro เลย หรือจะเปรียบเทียบง่ายๆ รูปทรงและรูปแบบนี่คล้าย GoPro เลย มีจอหน้า มีจอหลัง เลนอยู่ทางซ้าย แต่ก็มีความต่างที่เป็นเอกลัษณ์ของตัวเองที่คาดว่าจะเป็นจุดเด่นของตัวเองอย่างเช่น จอหน้าจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ แม้ว่าจะไม่ใหญ่เท่ากับ Sony RX0 II แต่ก็ใหญ่กว่า GoPro อาจจะดูภาพขณะถ่าย Vlog ผ่านจอด้านหน้าได้ด้วย ตัวเลนเป็นทรงกลม ดูจากภาพคล้ายๆ ว่าจะหมุนเพื่อเปลี่ยนเลน์ได้ ก็ต้องรอดูกันอีกไม่กี่วันนี้ และจากภาพนับถอยหลังสู่การเปิดตัวบนเว็บไซต์ของ DJI ซึ่งเป็นภาพใต้น้ำก็คงจะสื่อถึงการที่ DJI Osmo Action Camera สามารถกันน้ำได้

เรื่องสเป็คไม่อยากเดาเยอะ อีกไม่กี่วันก็รู้เรื่องกันแล้ว แต่คงไม่พลาดว่าสามารถรองรับการถ่ายวิดีโอระดับ 4K60p ได้อย่างแน่นอน โหมดอื่นๆ อย่าง HDR, Slo-mo, Time-lapse ฟีเจอร์พวกนี้ก็คงไม่พลาดที่ DJI จะใส่มาให้ด้วย

ที่น่าสนใจมากกว่าคือเรื่องของความสามารถในการกันสั่นและสำคัญที่สุดคือราคา จะเปิดตัวมาที่ราคาเท่าไร? อีกไม่กี่วันรู้เรื่อง

Doosan โชว์การควบคุม TeleOperation ระยะไกลด้วยเทคโนโลยี 5G ครั้งแรก

การควบคุมระยะไกลระยะไกลไม่ใช่เรื่องของภาพยนตร์หรือการควบคุมยุทโธปกรณ์ทางทางทหารอีกต่อไปเมื่อเข้าสู่ยุคของ 5G ตัวอย่างหนึ่งที่มีการนำเอาเทคโนโลยี 5G ไปใช้ในการควบคุมแบบ TeleOperation ก็คือการควบคุมเครื่องจักรที่ใช้ในงานทางด้านโยธาหรือการก่อสร้างของบริษัท Doosan

ผลงานการควบคุมเครื่องจักรแบบแบบ TeleOperation ผ่านเทคโนโลยี 5G ของ Doosan ถูกนำไปแสดงในงาน Bauma 2019 exhibition ที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมันนี โดยได้แสดงให้เห็นความสามารถในการควบคุมรถแบ็กโฮที่อยู่หน้างานเมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งอยู่ห่างจากมิวนิคถึง 8,500 กิโลเมตร แบ็กโฮสามารถที่จะเคลื่อนตัวและทำตามคำสั่งได้แบบเรียลไทม์โดยไม่มีการหน่วงหรือเกิดการดีเลย์ใดๆ ทั้งสิ้นแม้ว่าระยะทางในการสื่อสารจะอยู่ไกลมาเพียงใดอีกทั้งยังมีเงื่อนไขในเรื่องของโซนเวลาที่ต่างกันถึง 8 ชั่วโมงอีกด้วย

สำหรับการเชื่อมต่อเครือข่ายในครั้งนี้บริษัท Doosan ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเครื่องจักรได้ร่วมมือกับ LG U+ บริษัทในเครือของ LG Corporation ซึ่งมีศักยภาพด้านโทรคมนาคมของเกาหลี ที่ได้นำเอาเทคโนโลยี 5G มาใช้ซึ่งให้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า 4G ในทุกๆ ด้านและมีความเร็วสูงกว่าถึง 10 เท่า

การพัฒนาการควบคุมแบบ TeleOperation ระยะไกลของ Doosan ในครั้งนี้จะนำไปสู่การประยุกต์ใช้งานหลายๆ ด้าน เช่น ในพื้นที่ภัยพิบัติ หรือในพื้นที่สภาพอากาศเป็นพิษ เป็นต้น

น่ากลัวไปไหมถ้า Facebook ดักฟังโทรศัพท์เราได้ เพื่อหวังผลเรื่องโฆษณา

เรากำลังอยู่ในยุคของโซเชียลมีเดียที่ไม่ได้ให้ใช้กันฟรีๆ อีกต่อไป โดยเฉพาะในมุมของการใช้งานในเชิงธุรกิจ อย่างเช่น Facebook ที่มีการปรับวิธีการใช้งานหลายๆ อย่างอยู่เรื่อยๆ เช่น ลดในเรื่องของ Reach ส่งผลให้ทั้งยอดไลค์และการแสดงผลของสินค้าบนฟน้า Feed ลดลงอย่างน่าใจหาย

เป็นยุคที่แพลตฟอร์มทั้งหลายต่างก็ปรับกลยุทธ์ในการใช้งานเพื่อผลกำไรของบริษัท จนเกิดที่น่าตกใจที่อดคิดไม่ได้ว่า “จะต้องทำขนาดนี้เลย” และมีคำถามตามว่า “ทำจริงหรือเปล่า” กับเรื่องที่มีผู้ใช้ Facebook กลุ่มหนึ่งสันนิษฐานว่าแอปพลิเคชั่น Facebook กำลังดักฟังโทรศัพท์ของพวกเขาอยู่หรือเปล่า

เหตุการณ์ก็คือหลังจากที่ผู้ใช้กลุ่มนี้คุยโทรศัพท์กับเพื่อนหรือใครก็ตามแล้วมีการพูดถึง อ้างอิง หรือเอ่ยชื่อซึ่งมีคีเวิร์ดเกี่ยวข้องกับสินค้าใด ในวันรุ่งขึ้นบนหน้า Feed ใน Facebook ของพวกเขาจะมีโฆษณาสินค้าดังกล่าวปรากฏขึ้นมา

การแสดงสินค้าใดๆ บนหน้า Feed ที่กำลังอยู่ในความสนใจของผู้ใช้ Facebook ไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะปัจจุบันระบบมีความฉลาดมากจะจดจำการเข้าไปค้นหาสินค้าในช่องทางต่างๆ บนโลกออนไลน์ของผู้คนแล้วนำมาแสดงผลซ้ำๆ เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ

แต่ในกรณีของการคุยโทรศัพท์ที่ว่านี้ ผู้ใช้กลุ่มดังกล่าวบอกว่าสินค้าที่ตัวเองพูดถึง ตนไม่เคยไปค้นหาในช่องทางใดๆ บนโลกออนไลน์เลย เพิ่งจะเคยคุยโทรศัพท์กับเพื่อเท่านั้นแล้ว Facebook จะรู้ได้อย่างไร (ถ้าไม่ได้ดักฟังโทรศัพท์ ซึ่งอาจดักฟังผ่านแอปพลิเคชั่น)

มิหนำซ้ำผู้ใช้รายหนึ่งเธอชื่อ Tyler คุยกับเพื่อนขำๆ ถึงการที่หากผู้หญิงยืนฉี่ได้เหมือนผู้ชายบ้างคงจะดี วันรุ่งขึ้นบนหน้า Feed ของเธอก็มีโฆษณาชีวี่ (Shewee) หรืออุปกรณ์ยืนฉี่แสดงขึ้นมาเลย และมีอีกหลายเคสที่พบปรากฏการณ์น่าตกใจในลักษณะนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะคิดว่าพวกเขากำลังถูกดักฟัง

ทางด้าน Facebook ได้ตอบข้อสงสัยในกรณีนี้ว่าพวกเขาไม่มีนโยบายหรือไม่ได้มีการทำอย่างนั้นเด็กขาด เพราะถือว่าเป็นความผิดที่ร้ายแรงหากมีการตรวจพบ การที่ผู้ใช้ Facebook เข้าใจไปอย่างนั้นอาจเป็นผลมาจากประสิทธิภาพของการทำโฆษณาที่สามารถเข้าถึงและคาดเดาความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้

คงยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัด ครั้นจะเลิกใช้ Facebook บนโทรศัพท์ก็คงยาก เอาเป็นว่าถ้าแค่เสนอสินค้าที่คิดว่าเราน่าจะสนใจบนหน้า Feed ก็พอรับได้ แต่ถ้ามากไปกว่านี้ก็ต้องระวังกันล่ะ

Source : www.mirror.co.uk

Facebook Secret Crush ฟีเจอร์ใหม่เอาใจคนที่ “แอบชอบใครแต่ไม่กล้าบอก”

ผ่านพ้นไปแล้วกับงานประจำปีของ Facebook สำหรับ F8 conference ที่จัดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ภานในงานมีการสรุปถึงข้อมูลในหลายๆ เรื่องทั้งแนวทางการดำเนินงานของบริษัท การพัฒนาในด้านต่างๆ และที่สำคัญการปรับปรุงพัฒนาแพลตฟอร์มทั้งหลายที่อยู่ภายใต้การบริหารของบริษัทไม่ว่าจะเป็น Facebook เอง Instagram, What Apps หรือการพัฒนาไปสู่การเป็นผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซเป็นต้น

หนึ่งในฟีเจอร์ของ Facebook ที่ดูจะได้รับความสนใจเป็นพิเศษก็คือ Facebook Secret Crush ถ้าจะบอกเป็นภาษาไทยให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ฟีเจอร์ที่ใช้สำหรับการบอกเพื่อในเฟสบุ้กคนที่เรารู้สึกดีด้วยว่าเราแอบชอบเธอนะ

วิธีนี้ถูกใจแน่นอนเพราะจะช่วยให้การเริ่มต้นความสัมพันธ์ง่ายขึ้น แทนที่จะให้สะกิดหรือแชตไปบอกตรงๆ ทาง Messenger ว่าเราชอบเธอนะ มาคบกันไหม ก็ดูยังไงๆ อยู่ ไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามอยู่ในสถานะไหนแน่ มีครอบครัวแล้ว มีแฟนแล้ว โสด หรือว่าอยู่ในสถานะซับซ้อน ฟีเจอร์ Facebook Secret Crush จึงตอบโจทย์

การทำงานของ Facebook Secret Crush คือให้เราแอดคนที่เราแอบชอบซึ่งมันจะเป็นความลับของเราเท่านั้น ไม่ได้แชร์เป็นสาธารณะ และไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครแอบมาอ่าน Messenger ด้วย ถ้าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกดีกับเราด้วยก็แค่เงียบๆ ไป ไม่มีปฏิสัมพันธ์ใดเกิดขึ้น แต่หากอีกฝ่ายรับรู้ว่าเราแอบชอบและเจ้าตัวเองก็มีใจให้เหมือนกันหรืออาจจะรู้สึกดีและสนใจที่จะลองคบหากับเราและมีการตอบรับกลับมา Facebook ก็จะมีการแจ้งเตือนให้เราทราบ

แต่ก็นะ ฟีเจอร์นี้ให้เราแอดคนที่เราชอบไว้ได้ 9 คน ถ้าไม่มีใครตอบรับมาเลยก็แล้วไป เป็นโสดต่อไปแบบเงียบๆ หรือถ้ามีใครสักคนตอบรับกลับมาก็ลองคบหากันไปอนาคตจะเป็นอย่างไรก็ว่ากันอีกที แต่ถ้ามีคนตอบรับมาพร้อมๆ กันหลายคนล่ะจะเกิดปัญหาคบซ้อนหรือเปล่า อันนี้คงอยู่ที่ผู้ใช้เองว่าใครต้องการนำตัวเองไปอยู่ในสถานะไหน เอาเป็นว่ามองในแง่ดีก็แล้วกันว่าฟีเจอร์นี้เป็นฟีเจอร์ดีๆ อีกฟีเจอร์หนึ่งที่ Facebook เขาพัฒนามาให้สมาชิกได้ใช้กัน

cruzr หุ่นยนต์บริการ ค่าตัวเบาๆ ราวๆ หนึ่งล้านบาทเท่านั้น

โลกเรากำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคของโรบอทไปทุกที ต่อจากนี้ไปเราจะได้เห็นหุ่นยนต์ประจำการในหน้าที่การงานหรือธุรกิจต่างๆ มากขึ้น เช่น ธุรกิจบริการ

ผมไปเจอหุ่นยนต์ตัวนี้ Cruzr แสดงตัวอยู่ในงาน Motor Show 2019 ยกขบวนกัยมาเป็นแก๊งเลยทีเดียว มาเปิดบูธแสดงความสามารถให้กับผู้ที่มาเดินในงานได้เห็นถึงความสามารถ เลยถือโอกาสเขียนถึงเจ้าหุ่นยนต์ตัวนี้สักหน่อย

จากที่สอบถามเจ้าหน้าที่ในบูธได้ข้อมูลเบื้องต้นว่า Cruzr เป็นหุ่นยนต์ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบสนองธุรกิจในกลุ่มบริการเป็นหลัก เช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหาร โรงพยาบาล หรือธนาคาร เป็นต้น ในส่วนของพนักงานต้อนรับหรือธุรการ

ตัวที่นำมาแสดงในงานถูกโปรแกรมเป็นตัวอย่างไว้สำหรับร้านกาแฟ ที่เอาไว้ทำหน้าที่ต้อนรับพร้อมกับรับออร์เดอร์จากลูกค้าและส่งรายการไปที่เคาน์เตอร์ ก็พอเห็นภาพว่ามันทำอะไรได้บ้าง แต่พอถามถึงราคาแล้วพนักงานบอกคร่าวๆ ว่าค่าตัวประมาณ 1 ล้านบาท ได้ฟังอย่างนั้นรู้สึกค่าตัวแพงหูฉี่เลยทีเดียว แต่เมื่อมองถึงการนำไปใช้งานในธุรกิจบริการขนาดใหญ่อย่างโรงพยาบาลหรือธนาคารก็ถือว่าราคาสมเหตุสมผล เพราะสิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวของหุ่นยนต์เท่านั้น แต่อยู่ที่โปรแกรมที่จะป้อนเข้าไปใช้งานด้วย

ลักษณะทางกายภาพของ Cruzr เป็นหุ่นยนต์ที่มีรูปทรงกลมมาพร้อมแขนกล เคลื่อนที่ด้วยล้อใต้ฐานด้านล่าง ตัวแขนกลสามารถขยับได้ แต่ไม่สามารถหยิบยกสิ่งของได้ การขยับเป็นเพียงการสร้างแอคชั่นในการให้บริการเท่านั้น ส่วนสำคัญในการใช้งานอยู่ที่หน้าจอซึ่งเป็นหน้าจอแบบสัมผัส ส่วนจะให้แสดงข้อมูลอะไรเกี่ยวกับธุรกิจหรือการใช้งานก็ขึ้นอยู่กับโปรแกรม สำหรับการควบคุมสามารถทำได้ทั้งการสัมผัสบนหน้าจอ ใช้คำสั่งเสียง หรือการสั่งงานผ่านสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์

จริงๆ มันทำอะไรได้เยอะอยู่พอสมควร ก็ระดับราคาขนาดนี้าคงไม่ได้หมายความว่าทำได้เท่าที่ผมอธิบายไป นั่นเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น จริงๆ ขอบเขตการใช้งานของมันหลากหลายทีเดียวไม่ว่าจะเป็นในแง่ของ Multi-Modal Interaction, Facial Recognition, Video Conference, Big Data Analysis and Management, Safe and Secure Database, Centralized Control System โดยมันสามารถกำหนดการใช้งานได้ตามต้องการอย่างที่บอกไป (Customizable Service)

การเคลื่อนที่ไปตามจุดต่างๆ ในสถานที่ใช้งาน ต้องโปรแกรมเส้นทางหรือจุดบริการให้กับมัน โดยโปรแกรมเมอร์จะต้องสแกนพื้นทีและทำการโปแกรมไปยังคอมพิวเตอร์

แบตเตอรี่ของ Cruzr มีขนาด 20Ah 24V สามารถแสตนด์บายได้ 24 ชั่วโมง และรองรับการใช้งานต่อเนื่องได้ 5-8 ชั่วโมง เมื่อพลังงานต่ำถึงระดับที่กำหนดมันจะกลับไปชาร์จพลังงานด้วยตัวเอง

RØDE Wireless GO ไมไวเลสที่คล่องตัวยิ่งกว่า

ในยุคที่ใครๆ ก็ถ่ายวิดีโอได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง อุปกรณ์เสริมอย่างไมโครโฟนได้รับความนิยมมากขึ้น หลายคนเริ่มต้นจากไมค์สายประเภทไมค์ Lavalier บ้างก็ใช้ไมค์บูม และจำนวนไม่น้อยที่ต้องการไมค์ไวเลสโดยเฉพาะการถ่ายวิดีโอที่มีการพูดคุยตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เนื่องจากมีความคล่องตัวและได้เสียงที่ชัดเจน

ที่ผ่านมารูปแบบของไวเลสที่เป็นอยู่ก็ถือว่าคล่องตัวแล้วนะ แต่ถ้าได้เห็นไมค์ไวเลสรุ่นใหม่อย่าง RØDE Wireless GO คนที่ใช้ไมค์ไวเลสอยู่หรือไมค์ประเภทอื่นก็ตามคงต้องตาต้องใจไม่น้อย เพราะมันทั้งเล็กกระทัดรัด อีกทั้งยังคล่องตัวยิ่งกว่าไมค์ไวเลสแบบเดิมๆ เสียด้วย

เมื่อเปรียบเทียบไมค์ไวเลสแบบเดิมๆ กับ RØDE Wireless GO จะเห็นได้ชัดเจนว่าไมค์ไวเลสแบบเดิมยังมีสายไมค์ Lavalier ที่ต้องต่อกับตัวส่งหรือ Transmitter (พอเห็นของใหม่ก็รู้สึกแบบเก่าไม่ดีขึ้นมาเลย เหตุผลของคนจะเสียเงิน) ในขณะที่ Transmitter ของ RØDE Wireless GO นั้นมีไมค์อยู่ในตัวเลย โดยทั้ง Transmitter และ Receiver มีขนาดที่กระทัดรัด รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ไม่ต้องต่อสายให้พะรุงพะรัง อุปกรณ์ทั้ง 2 ตัวมีน้ำหนักเพียง 29 กรัมเท่านั้น

ในการใช้งานตัว Receiver สามารถติดตั้งกับกล้องได้บน Hot Shoe มาพร้อมสายแบบ TRS แต่ถ้าจะใช้กับสมาร์ทโฟนก็ต่อผ่านอะแดปเตอร์ TRRS ของ RØDE ได้ไม่มีปัญหา และขนาดตัวที่ค่อนข้างเล็กทำให้อุปกรณ์ที่ติดกับตัวกล้องดูไม่เทอะทะเท่าไร ส่วนตัว Transmitte ก็นำไปติดที่คนพูดได้เลยตามสะดวก ด้านหลังจะมีคลิปหนีบมาให้ ไม่ต้องเหน็บที่เข็มขัดแล้วนำสายไค์ไปติดที่ปกเสื้อเหมือนเคย (ดีอีกแล้ว)

สำหรับสัญญาณเสียงจะเป็นสัญญาณดิจิตอล 2.4GHz สามารถปรับระดับเสียงได้ 3 ระดับคือ 0dB, -6dB และ -12dB สนนราคา $199 หรือราว 6,xxx บาท