Amazon ประกาศศูนย์กระจายสินค้าอัตโนมัติแห่งแรกในสหรัฐฯ เพื่อลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกในการจัดส่ง

นี่เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามหลายปีในการเปลี่ยนศูนย์กระจายสินค้าในสหรัฐอเมริกา ให้เป็นกระดาษ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่จะช่วยให้ลูกค้าจำนวนมากสามารถรีไซเคิลที่บ้านได้

ศูนย์ปฏิบัติตาม Amazon อัตโนมัติขั้นสูงของเราในเมือง Euclid รัฐโอไฮโอเป็นศูนย์แรกในสหรัฐอเมริกาที่เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์พลาสติกในการจัดส่งด้วยโซลูชันบรรจุภัณฑ์กระดาษที่สามารถรีไซเคิลข้างทางได้ เช่นเดียวกับผู้ค้าปลีกส่วนใหญ่ Amazon มักจะใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกและกระดาษผสมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพความทนทาน น้ำหนัก และขนาด อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้ว การรีไซเคิลบรรจุภัณฑ์พลาสติกกำหนดให้ลูกค้ามุ่งหน้าไปยังสถานที่ส่ง ดังนั้น วิศวกรบรรจุภัณฑ์ของเราจึงทำการวิจัยและทดลองมานานหลายปีเพื่อให้แน่ใจว่าเราจะพบโซลูชันที่เหมาะสมในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าด้วยกระดาษ

ด้วยการสร้างเครื่องจักรที่มีอยู่ใหม่เพื่อใช้กระดาษแทนพลาสติก การสร้างบรรจุภัณฑ์กระดาษที่ทนทานและยืดหยุ่น ปรับปรุงเทคโนโลยีที่ออกแบบให้เหมาะสม และการเปลี่ยนจากหมอนลมพลาสติกไปเป็นฟิลเลอร์กระดาษ ทีมงานทำให้ศูนย์ปฏิบัติตาม Euclid เปลี่ยนไปใช้บรรจุภัณฑ์กระดาษโดยสมบูรณ์ งานนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามหลายปีในการเปลี่ยนศูนย์ปฏิบัติตามคำสั่งของสหรัฐฯ ให้เป็นกระดาษ และโซลูชันกระดาษใหม่เหล่านี้จะอำนวยความสะดวกในการให้ลูกค้าจำนวนมากรีไซเคิลที่บ้านได้

Pat Lindner รองประธานฝ่าย Mechatronics และ Sustainable Packaging ของ Amazon กล่าวว่า “นี่เป็นหลักชัยสำคัญสำหรับศูนย์ปฏิบัติตามคำสั่งซื้อของเราในสหรัฐฯ และผมรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งกับทีมงานที่พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเลิกใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก” “นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ในขณะที่เรายังคงค้นหาวิธีเพิ่มเติมในการกำจัดและลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับลูกค้าของเรา”

ต่อไปนี้เป็นภาพรวมของโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมที่วิศวกรบรรจุภัณฑ์ของเราสร้างขึ้นเพื่อกำจัดบรรจุภัณฑ์สำหรับการจัดส่งที่เป็นพลาสติกที่ศูนย์ปฏิบัติตาม Euclid

การเปลี่ยนหมอนลมพลาสติกเป็นฟิลเลอร์กระดาษ

ลูกค้าต้องการให้จัดส่งคำสั่งซื้อในบรรจุภัณฑ์ที่มีขนาดถูกต้องและรีไซเคิลได้ง่าย เพื่อให้แน่ใจว่าผลิตภัณฑ์จะได้รับในสภาพที่ดีเยี่ยม และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด ในกรณีที่คำสั่งซื้อจำเป็นต้องมีบรรจุภัณฑ์เพิ่มเติมเพื่อความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ เรามีการใช้หมอนลมพลาสติกในอดีต แม้ว่าจะเป็นเรื่องปกติในการจัดส่งแบบขายปลีก แต่หมอนประเภทนี้ต้องอาศัยการทำงานเพิ่มเติมเพื่อให้ลูกค้านำหมอนเหล่านั้นไปนำไปส่งที่โรงงานรีไซเคิลในท้องถิ่น การเปลี่ยนมาใช้ฟิลเลอร์กระดาษที่ทำจากวัสดุรีไซเคิล 100% ลูกค้าสามารถรีไซเคิลได้ในถังขยะรีไซเคิลริมถนน

การออกแบบเครื่องจักรใหม่เพื่อผลิตถุงกระดาษ

เราไม่เพียงแต่ต้องการใช้บรรจุภัณฑ์รีไซเคิลริมถนนเท่านั้น เรายังต้องการใช้บรรจุภัณฑ์ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อลดผลกระทบของเรา ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Amazon ได้ลดขนาดบรรจุภัณฑ์ลงอย่างมากโดยใช้การเรียนรู้ของเครื่องเพื่อระบุผลิตภัณฑ์ที่สามารถจัดส่งได้อย่างปลอดภัยในบรรจุภัณฑ์ที่เบาและเล็กลง บรรจุภัณฑ์ประเภทนี้มีน้ำหนักเบากว่ากล่องลูกฟูกแข็งที่มีขนาดใกล้เคียงกันถึง 90%

แฟนๆ ผู้ใช้งานมือถือมีเฮได้อัพ MIUI Version Android14

ทาง Website https://new.c.mi.com ได้โพสอย่างเป็นทางการว่าเปิดให้ผู้ใช้งาน สามารถอัพเดต MIUI Version ที่เป็น Android 14 ได้ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ใหม่ในการใช้งานโดยรุ่นที่สามารถอัพได้เบื้องต้น
Xiaomi 13 (Global ROM)
Xiaomi 13 Pro (Global ROM)
Xiaomi 12T (Global ROM)
ข้อแนะนำ บางแอปที่ใช้งานอยู่ อย่างแอปธนาคารอาจได้รับผลกระทบ โปรแกรมระมัดระวังการใช้งาน ถ้าอัพแล้วเครื่องไม่สามารถเปิดได้ให้ติดต่อศูนย์บริการของ Xiaomi

ก่อนดำเนินการโปรดอ่าน ข้อกำหนดจาก
https://new.c.mi.com/global/post/610781

Microsoft Office Professional 2021 for Windows: Lifetime License for Windows only ลดเหลือแค่ 33$

บริษัทที่ต้องการซื้อลิขสิทธิ์แท้ของ Microsoft Office แต่เป็นรุ่นเก่าหน่อยสามารถใช้ได้ยาวๆ เพราะเป็นแบบ Lifetime License ด้วย
ทางเวป Stack Social ทำโปรลดราคาเหลือแค่ 33$ เท่านั้น ประมาณ 1,220 บาท
Click ไปตาม Link นี้เลย https://stacksocial.com/sales/microsoft-office-pro-plus-2021-for-windows-lifetime-license?aid=a-vesp5cm1

Amazfit Bip 5 สมาร์ทวอทช์รุ่นใหม่ล่าสุด ใหญ่และฉลาดยิ่งขึ้น อัดแน่นด้วยแอปพลิเคชันและเกมกว่า 70 แอปฯ และอื่น ๆ อีกมากมาย

อเมซฟิต (Amazfit) แบรนด์ชั้นนำระดับโลกด้านอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะโดยเซปป์ เฮลท์ (Zepp Health) (NYSE: ZEPP) บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ ได้เปิดตัวสมาร์ทวอทช์ Amazfit Bip 5 รุ่นใหม่ล่าสุดพร้อมกันทั่วโลกในวันนี้ Amazfit Bip 5 ส่งเสริมให้ผู้ใช้ “Go Bigger, Go Smarter” ไม่เพียงแต่เป็นรุ่นที่มีหน้าจอใหญ่ที่สุดของแบรนด์ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่วางจำหน่ายทั่วโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นรุ่นแรกของซีรีส์ Amazfit Bip ที่ผสานรวม Zepp OS อันเต็มเปี่ยมไปด้วยฟีเจอร์ที่ล้ำหน้ากว่าที่พบในสมาร์ทวอทช์ระดับเริ่มต้นทั่วไป

ฟีเจอร์ใหม่

  • หน้าจอสัมผัส LCD ความละเอียดสูงขนาดใหญ่พิเศษ 1.91 นิ้ว และหน้าปัดนาฬิกามีให้เลือกมากมายกว่า 70 แบบ
  • Zepp OS 2.0 ช่วยให้การเข้าถึงอีโคซิสเต็มที่หลากหลายกว่า 70 แอปพลิเคชัน รวมถึงมินิเกมกว่า 30 เกม
  • รองรับการโทรด้วยบลูทูธ ผ่านไมโครโฟนและลำโพงในตัว
  • ฟีเจอร์สำหรับใช้ในชีวิตประจำวันอันชาญฉลาด เช่น ระบบสั่งการด้วยเสียงออนไลน์ผ่านAmazon Alexa การอัปเดตต่าง ๆ ในตอนเช้า และอื่นๆ อีกมากมาย
  • ฟีเจอร์ด้านสุขภาพและการออกกำลังกายที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้น เช่น การตรวจวัดออกซิเจนในเลือดตลอด 24 ชั่วโมง โหมดกีฬาที่มากขึ้นเป็นสองเท่าของรุ่นก่อนหน้า การตรวจจับการเคลื่อนไหวของกีฬาเจ็ดแบบโดยอัตโนมัติ และอัลกอริทึมสถานะการออกกำลังกาย PeakBeats™
  • Amazfit Bip 5 ราคาเริ่มต้นที่ 2,490 บาท มีวางจำหน่ายแล้วที่ Shopee / Lazada หรือ TikTok และ Dotlife / Banana / JIB / PowerBuy / B2S / BeTrend / IT City / N-Smart / Morefun และร้านค้าโซนสินค้าเทคโนโลยีในห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป
  • รายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาเยี่ยมชมเว็บไซต์ https://www.amazfit.com หรือติดตามข่าวสารต่างๆ ที่น่าสนใจได้ที่ FacebookInstagramTwitter และ YouTube

‘HoYo FEST 2023’ เตรียมเปิดฉากในไทย 20-22 ตุลาคมนี้ ชวนคอเกมเปิดวาร์ปสู่โลกแห่งจินตนาการกับ 4 เกมสุดฮิต พร้อมกิจกรรมสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

โดยภายในงาน Thailand Game Show 2023 ทาง HoYoverse ได้รวมสี่เกมดังของค่าย อย่าง Genshin Impact, Honkai Impact 3rd, Honkai: Star Rail และ Zenless Zone Zero มาไว้ด้วยกันเป็นปีแรก พร้อมเต็มอิ่มกับกิจกรรมสุดพิเศษมากมาย และลุ้นรับของรางวัลสุดเอ็กซ์คลูซีฟ

เตรียมนับถอยหลังสู่เทศกาล HoYo FEST 2023 พร้อมกิจกรรมออนไลน์และออฟไลน์ตลอดช่วงเดือนตุลาคมนี้ รวมถึงเซอร์ไพรส์สุดพิเศษกันได้ในงาน HoYoverse บูธ C1 ในงาน Thailand Game Show 2023 ตั้งแต่วันที่ 20 – 22 ตุลาคมนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและกำหนดการจัดกิจกรรมบนโซเชียลมีเดียอย่างเป็นทางการที่

Genshin Impact: https://www.facebook.com/genshinimpact.th

Hongkai: Star Rail: https://www.facebook.com/HonkaiStarRail.TH

Honkai Impact 3rd: https://www.facebook.com/Honkai3rd.th/

Zenless Zone Zero: https://zenless.hoyoverse.com/en-us

+6

KingstonเปิดตัวSSD รุ่นใหม่ KC3000 PCIe 4.0 NVMe และหน่วยความจำ ValueRAM DDR5

Kingston Technology ผู้นำด้านผลิตภัณฑ์หน่วยความจำและโซลูชันเทคโนโลยีระดับโลก ประกาศเปิดตัวโปรเซสเซอร์รุ่นใหม่ KC3000 PCIe 4.0 NVMe M.2 SSD สำหรับการใช้งานบนเดสก์ทอปและแล็ปท็อป พีซี พร้อม Kingston ValueRAM (KVR) DDR5 เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเพิ่มพื้นที่จัดเก็บข้อมูลได้ตามที่ต้องการ

ด้วยชุดควบคุม Gen 4×4 NVMe ใหม่ล่าสุด ทำให้ KC3000 สามารถมอบความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูลที่มากถึง 7,0000/7,000MB/s1 และมาพร้อมความจุสูงสุดถึง 4096GBเพื่อการจัดเก็บข้อมูลได้ตามความต้องการ ซึ่งสามารถรองรับงานที่ต้องใช้ทรัพยากรสูง และให้ผู้ใช้งานได้สัมผัสประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นเมื่อใช้งานซอฟต์แวร์ประยุกต์ต่างๆ เช่น การเรนเดอร์ข้อมูล 3 มิติ และการสร้างคอนเทนต์ระดับ 4K+ ผ่านการอัพเกรดระบบจัดเก็บข้อมูล โดย KC3000 ใช้เทคโนโลยี 3D TLC NAND ความหนาแน่นสูง ซึ่งอยู่ในมาตรฐานอุตสาหกรรมฟอร์มแฟคเตอร์  M.2 2280 เพื่อการจัดเก็บข้อมูลที่มากขึ้น และช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับประโยชน์จากความเร็ว PCIe 4.0 อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ KC3000 ยังผสานประสิทธิภาพเข้ากับความทนทาน ด้วยการเสริมแผ่นกระจายความร้อนกราฟีนอะลูมิเนียมแนวต่ำ เพื่อให้การกระจายความร้อนมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ไดรฟ์มีความเย็นระหว่างการใช้งานที่หนักหน่วง

Kingston กล่าวว่า “จากการเพิ่มขึ้นของแอปพลิเคชันที่ใช้ทรัพยากรจำนวนมาก ส่งผลให้ผู้บริโภคมองหาโซลูชันที่มีประสิทธิภาพและความจุสูง โดยการใช้เทคโนโลยี PCIe 4.0 เจนเนอเรชั่นล่าสุดกับ KC3000 ทำให้เราสามารถส่งมอบอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่รวดเร็วและมีเสถียรภาพ เพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการอันหลากหลายของผู้ใช้งานในเวลานี้ได้ และเรายังรู้สึกยินดีที่ได้แนะนำหน่วยความจำ ValueRAM DDR5 เพื่อขยายข้อเสนอสำหรับผลิตภัณฑ์ Kingston DDR5 ให้มากขึ้น ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อหน่วยความจำประสิทธิภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึง”

สำหรับโมดูลหน่วยความจำ ValueRAM DDR5 ของ Kingston ได้ถูกออกแบบและทดสอบภายใต้มาตรฐานอุตสาหกรรม JEDEC โดยมีระบบจัดการพลังงานในโมดูลหน่วยความจำติดตั้งสำเร็จในแผงวงจร (PMIC)ซึ่งสามารถช่วยควบคุมพลังงานที่ต้องการจากส่วนประกอบต่างๆ ของโมดูลหน่วยความจำ และช่วยให้กระจายพลังงานได้ดียิ่งขึ้น พร้อมปรับปรุงความสมบูรณ์ของสัญญาณ รวมทั้งลดเสียงรบกวน ดังนั้น Kingston ValueRAM DDR5 ที่มีความน่าเชื่อถือและอยู่ในราคาที่เอื้อมถึงได้ จึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับการอัพเกรดประสิทธิภาพ DDR5 อย่างไม่ต้องสงสัย 

โดย Kingston DDR5 ValueRAM มีวางจำหน่ายในชุดแถวเดียวความจุ 16GB และชุด 2 แถวที่ความเร็ว4800MHz พร้อมรับประกันตลอดอายุการใช้งาน และบริการทางเทคนิคฟรี ทั้งนี้สำหรับ KC3000 มีวางจำหน่ายที่ความจุ 512GB, 1024GB, 2048GB และ 4096GBและรับประกันแบบจำกัดเงื่อนไข 5 ปีพร้อมบริการทางเทคนิคฟรี 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมโปรดเยี่ยมชม kingston.com

KC3000 PCIe 4.0 NVMe M.2 SSD
หมายเลขชิ้นส่วนความจุ
SKC3000S/512G512GB KC3000
SKC3000S/1024G1024GB KC3000
SKC3000D/2048G2048GB KC3000
SKC3000D/4096G4096GB KC3000

คุณสมบัติและรายละเอียดทางเทคนิคของ KC3000 PCIe 4.0 NVMe M.2 SSD

  • เทคโนโลยี PCIe 4.0 NVMe: ควบคุมการทำงานของแอปพลิเคชันที่ใช้ทรัพยากรสูงกับความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูลที่มากถึง 7,000/7,000MB/s1
  • จัดเก็บข้อมูลได้มากกว่า: อัพเกรดและจัดการอุปกรณ์บันทึกข้อมูลด้วยความจุมากถึง 4096GB2
  • ความยืดหยุ่นที่มากกว่าฟอร์มแฟคเตอร์ M.2 ขนาดกะทัดรัดสามารถติดตั้งกับเครื่องขนาดเล็ก (SFF) ได้ง่าย รวมทั้ง PC เดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก
  • ชุดกระจายความร้อนกราฟีนอะลูมิเนียมแนวต่ำระบบกระจายความร้อนที่โดดเด่นช่วยให้ไดรฟ์ไม่เกิดความร้อนและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
  • ฟอร์มแฟคเตอร์M.2 2280
  • อินเทอร์เฟซPCIe 4.0 NVMe
  • ความจุ2: 512GB, 1024GB, 2048GB, 4096GB
  • ชุดควบคุมPhison E18
  • NAND: 3D TLC
  • อ่าน/เขียนตามลำดับ1:        
    • 512GB – 7,000/3,900MB/s
    • 1024GB – 7,000/6,000MB/s
    • 2048GB – 7,000/7,000MB/s
    • 4096GB – 7,000/7,000MB/s
  • อ่าน/เขียน 4K แบบสุ่ม1:
    • 512GB – up to 450,000/900,000 IOPS
    • 1024GB – up to 900,000/1,000,000 IOPS
    • 2048GB – up to 1,000,000/1,000,000 IOPS
    • 4096GB – up to 1,000,000/1,000,000 IOPS
  • จำนวนไบต์ทั้งหมดสำหรับเขียนข้อมูล (TBW)3:
    • 512GB – 400TBW
    • 1024GB – 800TBW
    • 2048GB – 1.6PBW
    • 4096GB – 3.2PBW
  • อัตราสิ้นเปลืองพลังงาน:
    • 512GB – 5mW Idle / 0.34mW Avg / 2.7W (MAX) Read / 4.1W (MAX) Write
    • 1024GB – 5mW Idle / 0.33mW Avg / 2.8W (MAX) Read / 6.3W (MAX) Write
    • 2048GB – 5mW Idle / 0.36mW Avg / 2.8W (MAX) Read / 9.9W (MAX) Write
    • 4096GB – 5mW Idle / 0.36mW Avg / 2.7W (MAX) Read / 10.2W (MAX) Write
  • อุณหภูมิการจัดเก็บ-40°C~85°C
  • อุณหภูมิการทำงาน: 0°C~70°C
  • ขนาด:
    • 512GB-1024GB – 80mm x 22mm x 2.21mm
    • 2048GB-4096GB – 80mm x 22mm x 3.5mm
  • น้ำหนัก:
    • 512GB-1024GB – 7g
    • 2048GB-4096GB – 9.7g
  • แรงสั่นสะเทือนขณะทำงาน: สูงสุด 2.17G (7-800Hz)
  • แรงสั่นสะเทือนขณะไม่ทำงาน: สูงสุด 20G (20-1000Hz)
  • MTBF: 1,800,000 hours
  • การรับประกัน/บริการ4รับประกันแบบจำกัดเงื่อนไข 5 ปีพร้อมบริการทางเทคนิคฟรี

ผลิตภัณฑ์ SSD รุ่นนี้ได้รับการออกแบบมาสำหรับใช้ในเครื่องเดสก์ท็อปและโน้ตบุ๊ก ไม่เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์

1พิจารณาจาก “ประสิทธิภาพตั้งแต่แกะกล่อง” โดยใช้เมนบอร์ด PCIe 4.0 ความเร็วอาจแตกต่างกันไปเนื่องจากฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์และการใช้งาน

ความจุที่แจ้งบางส่วนสำหรับไดร์ฟแฟลชใช้อ้างอิงสำหรับการฟอร์แมตหรือฟังก์ชั่นอื่นๆ ไม่ใช่ความจุสำหรับใช้จัดเก็บข้อมูล ด้วยเหตุนี้ความจุที่แท้จริงในการเก็บข้อมูลอาจต่ำกว่าที่ระบุไว้บนตัวผลิตภัณฑ์ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากคู่มือหน่วยความจำแฟลชของ Kingston ที่ kingston.com/flashguide.

3 จำนวนไบต์ที่เขียนทั้งหมด (TBW) ได้มาจากเกณฑ์ของ JEDEC Client Workload (JESD219A)

4การรับประกันแบบจำกัดเงื่อนไขครอบคลุมระยะเวลา 5 ปี หรือ “เปอร์เซ็นต์การใช้งานจริง (Percentage Used)” ของ SSD ตรวจสอบได้จาก Kingston SSD Manager (kingston.com/ssdmanager) สำหรับ NVMe SSD ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังไม่ได้ใช้จะแสดงค่า Percentage Used เป็น 0 ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ครบอายุการรับประกันจะแสดง Percentage Used มากกว่าหรือเท่ากับหนึ่งร้อย (100) ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้จาก kingston.com/wa.

คุณสมบัติและรายละเอียดทางเทคนิคของ Kingston DDR5 ValueRAM

  • ความจุ:
    • แถวเดี่ยว – 16GB
    • ชุดสองแถว – 32GB
  • ความถี่: 4800MHz
  • ค่าหน่วงเวลา: CL40
  • แรงดันไฟฟ้า: 1.1V
  • อุณหภูมิการทำงาน0°C-85°C
  • อุณหภูมิการจัดเก็บ: –55°C-100°C

สามารถติดตาม Kingston ได้ที่: 

Facebook: https://www.facebook.com/kingstonthailand/

YouTube: https://www.youtube.com/user/KingstonTechnologyTH

หัวเว่ยเผยแฟชั่นเซ็ตสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ถ่ายทอด HUAWEI MateBook 14s ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ผ่านคนเจนใหม่อย่างลงตัว

ปฏิเสธไม่ได้อีกต่อไปแล้วว่าในโลกของเราวันนี้ เทคโนโลยีไม่ใช่แค่เรื่องของคนไอทีเท่านั้น แต่ยังสอดแทรกผสานอยู่ในไลฟ์สไตล์ของเราทุกคน กล่าวได้ว่าแบรนด์ไอทีขยับเข้าหาความมีชีวิตชีวาแบบไลฟ์สไตล์ ส่วนไลฟ์สไตล์ของเราก็ขยับเข้าหาความอัจฉริยะของเทคโนโลยี โดยเฉพาะชีวิตของคนยุคดิจิทัลที่ต้องทำงานแข่งกับเวลาอยู่เสมอ และขณะเดียวกันก็ต้องให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ อุปกรณ์ที่จะสามารถรองรับไลฟ์สไตล์การทำงานเช่นนี้ได้ก็ต้องครบครันทั้งในแง่ของประสิทธิภาพอันชาญฉลาดและสุนทรียะแห่งดีไซน์

เพื่อตอบรับเทรนด์ดังกล่าวนี้ ล่าสุดหนึ่งในผู้นำวงการไอทีอย่างหัวเว่ยได้จับมือกับVogue Thailand นิตยสารแฟชั่นระดับโลก เผยภาพถ่ายแฟชั่นเซ็ตสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อโปรโมตแล็ปท็อประดับเรือธง HUAWEI MateBook 14s ที่เล็งเจาะกลุ่มผู้ใช้แล็ปท็อปไฮเอนด์ด้วยดีไซน์เรียบหรู เป็นอุปกรณ์ไอทีที่สามารถเบลนด์อินไปกับภาพถ่ายไฮแฟชั่นได้อย่างลงตัว โดยที่แต่ละองค์ประกอบต่างก็เติมเต็มกันและกัน ตัวผลิตภัณฑ์สร้างความโดดเด่นนำสมัยให้กับภาพ ส่วนเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ของภาพจาก Vogue Thailand ก็ตอกย้ำสุนทรียะแห่งความมีสไตล์ของแล็ปท็อป กลายเป็นแฟชั่นเซ็ตที่สะกดทุกสายตา

แฟชั่นเซ็ตของ Vogue Thailand ถูกถ่ายทอดผ่านคอนเซ็ปต์ NEW WAY TO WORKบอกเล่าวิถีการทำงานของคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการใช้ของคู่กายที่บ่งบอกอัตลักษณ์และไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว เน้นย้ำความทันสมัย ความสดใหม่ และความดูดีที่ถ่ายทอดออกมาผ่าน Mood & Tone ของภาพ โดยสะท้อนเรื่องราวว่า HUAWEI MateBook 14s นั้นสามารถใช้งานตอบโจทย์หลากหลายสายอาชีพได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะคนบันเทิงอย่างสายการแสดงที่ต้องอ่านบทและจัดการงานอื่นๆ ไปพร้อมกัน หน้าจอ 2.5K HUAWEI FullView Display ทำให้ใช้งานพื้นที่จออ่านบทได้เต็มตามากขึ้น ชิปเซ็ตที่เร็วและแรงอย่าง 11th Gen Intel® Core™ H-Series ก็รองรับการทำงานหลายโปรแกรมพร้อมๆ กันได้ดี หรือจะเป็นการใช้สีสันที่สวยสะดุดตาอย่างสีเขียวSpruce Green[1] หรือการออกแบบด้วยดีไซน์เฉพาะตัวและน้ำหนักเบา ซึ่งตอบโจทย์คนทำงานสายแฟชั่นที่ต้องพกพาแล็ปท็อปติดตัวไปทุกที่

นอกจากนี้ ภาพแฟชั่นเซ็ตของ Vogue Thailand ยังเล่าเรื่องราวของคนทำงานสายคอนเทนต์ที่ต้องมองหน้าจอติดต่อกันเป็นเวลานาน การเลือกใช้แล็ปท็อปที่ได้รับการรับรองมาตรฐานโลกจาก TÜV Rheinland ว่าช่วยปกป้องดวงตาด้วยการลดแสงสีฟ้าและการกะพริบของหน้าจอ ก็ถือว่าตอบได้ตรงโจทย์ หรือแม้แต่คนทำงานเพลงที่ต้องอัดเสียงเครื่องดนตรีเยอะๆ และต้องเช็ครายละเอียดเพลงให้ออกมาดีที่สุด การได้แล็ปท็อปที่มีเทคโนโลยีด้านเสียงโดยเฉพาะอย่าง HUAWEI Sound ที่ใส่มาใน HUAWEI MateBook 14s พร้อมลำโพง 4 ตัวและไมโครโฟนอีก 4 ตัวก็คือว่าเป็นผู้ช่วยมอบพลังด้านเสียงได้เป็นอย่างดี ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ HUAWEI MateBook 14s นับเป็นแล็ปท็อปที่มีฟังก์ชันการใช้งานครอบคลุม 360°  ครบจบในเครื่องเดียว ยกระดับความสมาร์ทให้ชีวิตง่ายขึ้นในทุกมิติ ไม่ว่าจะเพื่อการงานหรือความบันเทิง

HUAWEI MateBook 14s มาพร้อมหน้าจอทัชสกรีน HUAWEI FullView Display2.5K อัปเกรดความลื่นไหลของภาพด้วย ด้วยระบบสัมผัส Multi-touch 10 จุด อัตรารีเฟรชหน้าจอถึง 90Hz ผสานกับประสิทธิภาพจากขุมพลังแพลตฟอร์ม 11th Gen Intel® H-Series และเป็นแล็ปท็อปตัวแรกของหัวเว่ยที่ได้รับ Intel® Evo™ Platform Certification รับรองมาตรฐานการออกแบบเทคโนโลยีมาอย่างลงตัว มอบความทรงพลัง กราฟฟิกละเอียด สามารถเชื่อมต่อและถ่ายโอนข้อมูลได้อย่างรวดเร็วไร้สะดุด พร้อมเทคโนโลยีเสียงใหม่ HUAWEI Sound โดยเพิ่งเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2564 ในราคาเริ่มต้นที่ 40,990 บาท พิเศษสำหรับโปรโมชันพรีออเดอร์ รับฟรี! หูฟังไร้สายระดับโปรฯ HUAWEI FreeBuds Pro มูลค่า 5,499 บาท และMicrosoft 365 ฟรี 1 ปี มูลค่ารวม 7,289 บาท เมื่อสั่งซื้อสินค้าตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม2564 ถึง 12 พฤศจิกายน 2564 ทางเว็บไซต์ HUAWEI Store ร้านค้าอย่างเป็นทางการของหัวเว่ยบนแฟลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เช่น ShopeeLazada และ JD Central รวมถึงหน้าร้าน HUAWEI Experience Store และร้านค้าตัวแทนจำหน่ายที่ร่วมรายการ และมาพร้อมบริการรับประกันบำรุงรักษาตัวเครื่องฟรี ภายใน 2 ปีนับจากวันที่ซื้อสินค้า พร้อมให้บริการรับส่งซ่อมเครื่องถึงบ้าน รายละเอียดเพิ่มเติมที่นี่

หัวเว่ยเรียกร้องให้อุตสาหกรรมICTทำงานร่วมกันสู่การพัฒนาก้าวใหม่ของ5G

การประชุมระดับโลก Global Mobile Broadband Forum (MBBF 2021) ประจำปีของหัวเว่ย ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 12 ได้เริ่มขึ้นแล้ว โดยคุณเคน หู ประธานกรรมการบริหาร แบบหมุนเวียนตามวาระของหัวเว่ยได้ร่วมกล่าวถึงสถานการณ์การพัฒนาเทคโนโลยี 5G ในปัจจุบันรวมถึงโอกาสใหม่ๆ จากนี้ไปว่า “ภายในระยะเวลาเพียง 5 ปีของการนำเทคโนโลยี 5G มาใช้งานในเชิงพาณิชย์ เทคโนโลยีนี้ได้ยกระดับประสบการณ์การใช้งานโทรศัพท์มือถือของผู้บริโภคขึ้นมาก และยังได้มอบพลังใหม่ๆ ให้กับหลากหลายภาคอุตสาหกรรมทั่วโลกอีกด้วย ความก้าวหน้านี้เกิดขึ้นเร็วกว่าที่เราคาดการณ์เอาไว้ โดยเฉพาะในด้านจำนวนผู้ใช้งาน ความครอบคลุมของสัญญาณ และจำนวนเสาส่งสัญญาณ 5G ในตลาด”

คุณเคน หู กล่าวถึงการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ในงาน MBBF 2021

คุณเคน หู ยังได้กล่าวถึงโอกาสใหม่ๆ ที่มาใน 3 รูปแบบซึ่งจะขับเคลื่อนการเติบโตของ 5G ในก้าวต่อไป ซึ่งรวมถึงเทคโนโลยีการบริการของ XR การเติบโตของตลาดอุตสาหกรรม (B2B) และความคืบหน้าในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ภาพรวมของการพัฒนาเทคโนโลยี 5G ทั่วโลกในปัจจุบัน

ปัจจุบันมีเครือข่าย 5G เชิงพาณิชย์จำนวน 176 เครือข่ายทั่วโลก ให้บริการแก่ลูกค้ามากกว่า 500 ล้านคน ความเร็วในการดาวน์โหลดเพื่อการใช้งานของผู้บริโภคโดยเฉลี่ยจะเร็วกว่า 4G ประมาณ 10 เท่าตัว ทำให้ผู้ใช้งานเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น VR หรือการสตรีมคอนเทนต์แบบ 360 องศาได้ ในด้านอุตสาหกรรมนั้น ปัจจุบันมีโครงการที่กำลังศึกษาเพื่อที่จะนำแอปพลิเคชัน 5G ไปใช้ในตลาด B2B หรือ 5GtoB10,000 โครงการทั่วโลก นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยี 5G ในภาคอุตสาหกรรม เช่น ภาคการผลิต เหมืองแร่ หรือท่าเรือต่างๆ ได้ผ่านขั้นตอนการทดลองไปแล้ว และกำลังเพิ่มอัตราการใช้งานเทคโนโลยีรูปแบบนี้ในวงกว้าง

แม้ว่าเทคโนโลยีกำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง คุณเคน หู กล่าวว่ายังคงมีบางด้านที่ต้องพัฒนา “ในปัจจุบัน กว่าครึ่งของโครงการ 5GtoB นั้นอยู่ในประเทศจีน เรามีกรณีศึกษามากมายแล้ว แต่เรายังจำเป็นต้องเดินหน้าสร้างธุรกิจในรูปแบบที่ยั่งยืนมากขึ้น”

เขาได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ที่จะส่งผลต่ออุตสาหกรรม ICT ในระยะยาว รวมถึงการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอันเป็นผลจากโรคระบาดโควิด-19 การที่ AI จะกลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกองค์กร และทุกคนบนโลกกำลังให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศกันมากขึ้น เทรนด์เหล่านี้ได้มอบโอกาสอันยิ่งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี แต่มาพร้อมกับความท้าทายด้วย อย่างไรก็ตาม เรายังมีแนวทางที่จะเตรียมความพร้อมเพื่อการรับมือได้

แนวทางแรกคือ อุตสาหกรรมจำเป็นต้องแน่ใจว่าเครือข่าย อุปกรณ์ต่างๆ และคอนเทนต์ที่มีนั้น พร้อมรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Extended Reality (XR)การมอบประสบการณ์การใช้งาน XR จากคลาวด์แบบไม่สะดุดได้นั้น เครือข่ายจะต้องมอบความเร็วในการดาวน์โหลดที่สูงกว่า 4.6 กิกะบิตต่อวินาที และมีค่าความหน่วงน้อยกว่า 10  มิลลิวินาที ในปีที่ผ่านมา หัวเว่ยได้ประกาศเป้าหมายสำหรับ 5.5G แล้วและเชื่อว่าทุกฝ่ายจะช่วยหาทางรับมือกับความท้าทายเรื่องนี้

ในด้านอุปกรณ์นั้น การลดอุปสรรคในการเข้าถึงอุปกรณ์เฮดเซ็ตเป็นเรื่องสำคัญที่จะช่วยให้ก้าวไปสู่จุดสูงสุดของเทคโนโลยีเวอร์ชวลเรียลลิตี (VR) ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีหลักของ Extended Reality อันเป็นส่วนผสมของทั้ง AR, VR และ MR  ภาคอุตสาหกรรมจึงต้องพัฒนาทั้งด้านอุปกรณ์และคอนเทนต์ ผู้คนต้องการอุปกรณ์ที่เล็กลงและเบาขึ้น รวมถึงเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น และเพื่อเติมเต็มอีโคซิสเต็มของคอนเทนต์ คุณเคน หูได้เรียกร้องให้ภาคอุตสาหกรรมร่วมมอบแพลตฟอร์มคลาวด์ และเครื่องมือต่างๆ ในการช่วยให้การสร้างคอนเทนต์ง่ายขึ้น เพราะรู้กันดีอยู่แล้วว่าการสร้างคอนเทนต์ที่เหมาะสม

แนวทางที่สองคือ ผู้ให้บริการทางโทรคมนาคมจำเป็นต้องยกระดับโครงข่ายของตนเองและพัฒนาศักยภาพใหม่ๆ เพื่อเตรียมพร้อมให้บริการแบบ 5GtoB โครงข่ายที่มีเสถียรภาพเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการใช้เทคโนโลยี 5G ในภาคอุตสาหกรรม ผู้ให้บริการจึงจำเป็นต้องพัฒนาศักยภาพในด้านต่างๆ ของโครงข่ายอย่างสม่ำเสมอ อาทิ การส่งสัญญาณจากสถานีภาคพื้นไปยังดาวเทียม (uplink) การวางตำแหน่ง (positioning) และเซ็นเซอร์ (sensing) ทั้งนี้ การใช้ในเชิงอุตสาหกรรมนั้นซับซ้อนยิ่งกว่าการใช้งานของผู้บริโภค โดยเฉพาะด้านปฏิบัติการและการบำรุงรักษา(Operation & Maintenance – O&M) ซึ่งนับเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง และเพื่อช่วยเหลือในเรื่องนี้ หัวเว่ยจึงพัฒนาโครงข่ายแบบอัตโนมัติ (Autonomous Network) ที่ผสานความอัจฉริยะในทุกมิติของเทคโนโลยี 5G นับตั้งแต่การวางแผนและการก่อสร้าง ไปจนถึงการบำรุงรักษาและการปรับใช้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล กลุ่มผู้ให้บริการจำเป็นต้องมีบทบาทหลายด้านที่แตกต่างกัน นอกจากบริการด้านการเชื่อมต่อแล้ว ผู้ให้บริการยังสามารถเป็นผู้ให้บริการคลาวด์ ผู้ประสานระบบและอื่นๆ รวมถึงช่วยพัฒนาศักยภาพด้านต่างๆ ที่สำคัญ เพื่อขับเคลื่อนการใช้งานเทคโนโลยี 5G ให้ครอบคลุมในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ การพัฒนามาตรฐานทางโทรคมนาคมที่ระบุอุตสาหกรรมแบบเฉพาะเจาะจงนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน ในประเทศจีน กลุ่มผู้ให้บริการพร้อมกับพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรมเริ่มพัฒนามาตรฐานที่จะใช้กับเทคโนโลยี 5G ในอุตสาหกรรมต่างๆ อาทิ การทำเหมืองถ่านหิน การผลิตเหล็ก และพลังงานไฟฟ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต่างช่วยผลักดันให้เกิดการนำไปใช้อย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้นภายในภาคอุตสาหกรรมดังกล่าว

“นอกเหนือจากเทคโนโลยี สิ่งเหล่านี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถจับต้องได้และอาจจะไม่ได้เกิดผลกำไรในทันที แต่จะเป็นกุญแจสู่ศักยภาพด้านการแข่งขันในระยะยาวในตลาดบริการแบบ 5GtoB” คุณเคน หูกล่าวสรุป

แนวทางที่สาม ภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องเตรียมพร้อมในการดำเนินธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม จากการประชุมเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ภายในปี พ.ศ. 2573 เทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกอย่างน้อย 15เปอร์เซ็นต์ โดยคุณเคน หู กล่าวว่า “ในทางหนึ่ง เรามีโอกาสที่ดีที่จะสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซคอร์บอนไดออกไซด์ในทุกอุตสาหกรรม พร้อมปรับปรุงประสิทธิภาพด้านพลังงานด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล แต่ในขณะเดียวกัน เรายังต้องตระหนักถึงความจริงที่ว่าอุตสาหกรรมของเรามีคาร์บอนฟุตพริ้นท์ (Carbon Footprint) เพิ่มมากขึ้น และเราต้องเริ่มแก้ไขปัญหาดังกล่าว ปัจจุบัน หัวเว่ยได้ใช้ทรัพยากรและอัลกอริธึมใหม่ ๆ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของเราใช้พลังงานน้อยลง และกำลังปรับปรุงพื้นที่ต่างๆ รวมถึงปรับการจัดการพลังงานในศูนย์ข้อมูลของหัวเว่ยให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น”

“ตลอดสองปีที่ผ่านมา เราเห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งด้านเทคโนโลยี ธุรกิจ และเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นผลจากการระบาดของโควิด-19 เพื่อที่จะก้าวไปข้างหน้าเมื่อโลกเริ่มฟื้นตัวกลับมา เราจำเป็นต้องตระหนักถึงโอกาสต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าและเตรียมตัวให้พร้อมกับโอกาสเหล่านั้น  เราจึงต้องเตรียมทั้งเทคโนโลยี ธุรกิจ และศักยภาพ ของเราให้พร้อม” คุณเคน หูสรุป

การประชุม Global Mobile Broadband Forum 2021 นั้นจัดขึ้นโดยหัวเว่ยและพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรม ซึ่งรวมถึงองค์กรกำกับดูแลมาตรฐานการสื่อสาร (Global System for Mobile Associations – GSMA) และคณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง และแอฟริกาเหนือ (SAMENA – South Asia, Middle East, North Africa) โดยงานประชุมครั้งนี้นับเป็นการรวมตัวของกลุ่มผู้ให้บริการโครงข่าย ผู้นำภายในอุตสาหกรรมแนวดิ่ง และพาร์ทเนอร์ด้านอีโคซิสเต็มจากทั่วโลกเพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความเห็นเรื่องแนวทางการนำศักยภาพเทคโนโลยี 5G มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมผลักดันอุตสาหกรรมโครงข่ายไร้สายให้ก้าวไปข้างหน้า

ผู้ที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.huawei.com/en/events/mbbf2021

แอลจีเปิดตัวทีวีไลน์อัพ QNED Mini LED ใหม่ล่าสุด มอบปรากฏการณ์สีสันเจิดจรัส ด้วยที่สุดแห่งนวัตกรรมทีวี LCD

บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย)จำกัด ตอกย้ำความเป็นผู้นำนวัตกรรมโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ เปิดตัวไลน์อัพQNED Mini LED ใหม่ล่าสุด พร้อมให้ลูกค้าไทยได้สัมผัสประสบการณ์รับชมด้วยภาพสีสันเจิดจรัสแม่นยำยิ่งกว่าทีวี LCD รุ่นอื่น ๆ มาใน 2 ซีรีส์ ได้แก่ ซีรีส์ QNED99 8K ขนาด 75 นิ้ว และซีรีส์ QNED91 4K ขนาด 75 และ 65 นิ้ว โดยทั้ง 3 โมเดลมาพร้อมจุดเด่นด้านการแสดงภาพในทีวี LCD ผสานเทคโนโลยี Quantum Dot กับเทคโนโลยี NanoCell และหลอดไฟ Mini LED จึงแสดงคอนทราสต์ได้ล้ำลึกเหนือชั้น ในขณะที่ควบคุมความดำได้ดียิ่งขึ้นด้วยการหรี่แสงแบบกระจายทั่วหน้าจอ เต็มอิ่มกับการรับชมแบบมุมมองกว้างบนจอใหญ่เต็มตา เสริมด้วยเทคโนโลยี LGThinQ AI พร้อมระบบปฏิบัติการใหม่ webOS 6.0 ตอบโจทย์การใช้งานที่ล้ำยิ่งขึ้น

อีกขั้นของปรากฏการณ์ทีวี LCD ที่แสดงสีสันได้อย่างเจิดจรัสและแม่นยำ

ทีวี LG QNED Mini LED ใหม่ล่าสุด ยกระดับการแสดงผลด้วยสีที่เจิดจรัสและแม่นยำด้วยการผสานเทคโนโลยี Quantum Dot และ NanoCellเข้าด้วยกัน แสดงคอนทราสต์ที่ดียิ่งขึ้น การหรี่แสงกระจายทั่วหน้าจอแบบFull Array Dimming ของหลอดไฟ LED ขนาดเล็กช่วยควบคุมแสงและความสว่างได้ดีกว่า ขับเคลื่อนการทำงานระบบต่าง ๆ ของทีวีให้รวดเร็วและเสถียรยิ่งขึ้นด้วยชิปประมวลผลอัจฉริยะ α9 (อัลฟ่า) Gen4 AI Processor 8K ในทีวี LG ซีรีส์ QNED99 8K ขนาด 75 นิ้ว ที่ยกระดับการแสดงภาพ 8K ขณะที่ชิปประมวลผล α7 (อัลฟ่า) Gen4 AI Processor ในทีวี LG ซีรีส์ QNED91 4K ขนาด 75 และ 65 นิ้ว ก็ยกระดับภาพ 4K อย่างเต็มประสิทธิภาพเช่นเดียวกัน นอกจากนี้เทคโนโลยี AI Picture Pro ในทีวี LGQNED Mini LED ใหม่ล่าสุด ยังทำหน้าที่ปรับแต่งความคมชัดของภาพให้เสมือนต้นฉบับ พร้อมรองรับภาพ HDR ทั้ง Dolby Vision IQ, HDR10 PRO และ HLG ให้คอภาพยนตร์ได้เพลิดเพลินกับคอนเทนต์คุณภาพระดับโลก อีกทั้งคอเกมยังสนุกกับความมันส์บนหน้าจอทีวี LCD ใหม่ล่าสุดนี้ที่รองรับ HGiG ภาพ HDR และอัตรารีเฟรชภาพ 120Hz แสดงภาพเคลื่อนไหวราบรื่น ไม่มีสะดุดเสริมประสบการณ์เสียงอันทรงพลังด้วยระบบเสียงรอบทิศทาง

นอกจากจุดเด่นเรื่องเทคโนโลยีการแสดงภาพที่จัดเต็ม ทีวี LG QNED Mini LED ยังโดดเด่นด้วยเทคโนโลยีเสียงที่ได้รับการพัฒนาขึ้นเช่นเดียวกัน โดยทีวีLG ซีรีส์ QNED99 8K มาพร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง 4.2 Ch. พลังเสียง 60 วัตต์ พร้อมด้วยเทคโนโลยี AI Sound Pro ยกระดับเสียงสู่ระบบ 5.1.2 ที่ล้ำไปอีกขั้น ในขณะที่ทีวี LG ซีรีส์ QNED91 4K มอบระบบเสียง2.2 Ch. พลังเสียง 40 วัตต์ และ AI Sound ที่ยกระดับเสียงสู่ระบบ 5.1 อย่างอัจฉริยะ พร้อมด้วยการรองรับ Dolby Atmos ที่จำลองเสียงเป็นมิติขึ้นไปด้านบน เติมเต็มประสบการณ์เสมือนรับชมในโรงภาพยนตร์ นอกจากนี้ ฟีเจอร์ Bluetooth SurroundReady ยังช่วยเพิ่มศักยภาพเสียงรอบทิศทางด้วยการใช้งาน Bluetooth Speaker ร่วมกับลำโพงบลูทูธ ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริม

ตอบโจทย์การใช้งานอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีมากมายที่พัฒนาขึ้นใหม่ล่าสุด

เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การใช้งาน ทีวี LG QNED Mini LED ใหม่ล่าสุด ยังมอบเทคโนโลยี LG ThinQ AI ที่รองรับการสั่งงานด้วยเสียง พร้อมอัพเกรดระบบปฏิบัติการ webOS 6.0 ช่วยประมวลผลให้ค้นหาคอนเทนต์ต่าง ๆ ได้รวดเร็วและง่ายดายยิ่งขึ้น พร้อมฟีเจอร์ Apple Airplay2 ที่อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้งานแชร์คอนเทนต์จาก iOS สู่หน้าจอทีวีได้อย่างง่ายดาย โดยทีวีรุ่นใหม่ทั้ง 2 ซีรีส์ ยังมาพร้อมเมจิกรีโมทซึ่งเป็นไฮไลท์ของทีวี LG ในด้านการควบคุมที่ง่ายเสมือนเม้าส์ไร้สาย พร้อมการสั่งการแบบ Hands-free Voice Control พิเศษเฉพาะในทีวี LG ซีรีส์QNED99 8K ในขณะที่หน้าจอ Home Dashboard โฉมใหม่ ยังแสดงผลการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งโทรศัพท์มือถือ บลูทูธ AirPlay ซาวด์บาร์หรือเกมต่าง ๆ รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าของแอลจี โดยสามารถควบคุมการสั่งงานเปิด-ปิด อุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านการใช้เมจิกรีโมทคลิกบนหน้าจอพร้อมจัดเต็มฟีเจอร์เอาใจคอกีฬาอย่าง Sports Alert ให้ผู้ใช้งานตั้งค่าทีมกีฬาทีมโปรดไว้บนทีวีเพื่อรับการแจ้งเตือนก่อนเริ่มเกมการแข่งขัน พร้อมอัปเดตคะแนนแบบเรียลไทม์ในระหว่างการแข่งขัน และแจ้งกำหนดการแข่งขันในรอบถัดไป นอกจากนี้ ทีวี LG QNED Mini LED ใหม่ล่าสุด ยังถูกพัฒนาขึ้นโดยคำนึงถึงสุนทรียภาพด้านการตกแต่ง ด้วยฟีเจอร์ Gallery App ที่บรรจุภาพวาดของเหล่าศิลปินชื่อดังเอาไว้ให้ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนการตั้งค่าหน้าจอทีวี ให้เป็นกรอบรูปศิลปะชั้นเลิศการเชื่อมต่อที่ราบรื่น

LG QNED Mini LED ใหม่ล่าสุด ยังมาพร้อมตัวเลือกการเชื่อมต่อที่หลากหลายเพื่ออำนวยความสะดวกผู้ใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi, Bluetooth 5.0 ช่องต่อ USB จำนวน 3 ช่อง รวมทั้งช่องต่อ HDMI โดยในทีวี LG ซีรีส์QNED99 8K ขนาด 75 นิ้ว มาพร้อมช่องต่อ HDMI 2.1 จำนวน 4 ช่อง ในขณะที่ทีวี LG ซีรีส์ QNED91 4K ขนาด 75 และ65 นิ้ว มาพร้อมช่องต่อ HDMI 4 ช่อง แบ่งเป็น HDMI 2.1 จำนวน 2 ช่อง และ HDMI 2.0 อีก 2 ช่อง

สำหรับ LG QNED Mini LED TV ซีรีส์ QNED99 และ QNED91 ราคาเริ่มต้นที่ 104,990 – 229,990 บาท พร้อมให้ลูกค้าชาวไทยเป็นเจ้าของตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ข้อมูลแอลจี 0-2878-5757 หรือhttps://www.lg.com/th/qned-tvs และสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่